หนังสือ 1 เจ้าหญิงที่ซ่อนอยู่ ฉบับที่ 1
"ดูรายการนี้เข้าไปได้ยังไงเนี่ย" โนอาห์เป็นคนถาม เขาจะคอยตั้งคำถามกับรายการที่ฉันเลือกดูไปเรื่อยๆ จนกว่าตัวเองจะเริ่มสนใจมันขึ้นมาจริงๆ นั่นแหละ ฉันเตรียมใจรอรับคำถามต่อไปแล้ว
"อย่าให้รูปลักษณ์ภายนอกมันหลอกตาสิ พี่ชาย รายการนี้ให้ความรู้สูงมากเลยนะ ฉันจะได้เรียนรู้ว่าต้องทำยังไงถ้าเกิดวันสิ้นโลกขึ้นมาจริงๆ" ฉันตอบพร้อมกับทำหน้าจริงจังสุดขีด ผลคือโดนหมอนปาใส่หน้าเต็มๆ สงสัยทักษะการแสดงของฉันยังห่วยเหมือนเดิม
"แล้วน้องจะไปตามหาหมาพูดได้กับอาณาจักรที่เต็มไปด้วยชาวลูกกวาดที่ไม่รู้อะไรเลยเหรอ" เขาถามขณะทิ้งตัวลงนั่งสบายๆ บนโซฟาข้างฉัน ฉันได้ยินเสียงเขาพ่นลมอย่างไม่เชื่อ แต่แววตาที่สนใจใคร่รู้มันทำลายท่าทีนั้นหมดเลย
ฉันยิ้มกับตัวเองและแอบจดจำไว้อีกครั้งว่าพี่ชายทั้งสองคนของฉันต่างกันแค่ไหน พวกเขาอยู่ในวัยที่ควรจะออกไปค้นโลกกว้าง... หรืออะไรก็ตามที่เด็กผู้ชายวัยเดียวกันเขาทำกัน แต่กลับชอบเอาอกเอาใจน้องสาวคนเล็กทุกครั้งที่มีโอกาส พวกเขานี่มันเข้าใจยากจริงๆ โนอาห์กับโจนาห์เป็นฝาแฝดกัน แถมยังป๊อปสุดๆ ในหมู่เพื่อนฝูง ไม่ใช่แค่ในโรงเรียนมัธยมที่เรียนอยู่ แต่ดังไปทั่วทั้งฝูงเลยด้วยซ้ำ พวกเขามีคนรู้จักเยอะแยะ แต่เพื่อนจริงๆ กลับมีไม่มาก มันก็แปลกๆ อยู่หน่อย แต่ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง
"เอ็มม่า! ลูกรัก ได้เวลาฝึกแล้วจ้ะ"
โธ่เอ๊ย อีกตอนเดียวเอง ฉันดูอีกสักตอนก่อนแม่จะรู้ทันแล้วค่อยรีบไปที่ลานฝึกก็ได้น่า
"ได้เลยค่ะแม่" ฉันตอบพลางปิดเสียงทีวี
"หนึ่ง... สอง... สาม..." โนอาห์เริ่มนับพร้อมกับรอยยิ้มทะเล้นบนใบหน้า แหม ช่างหาดูได้ยากจริง เขาคงขำกับสถานการณ์คับขันเล็กๆ ของฉันน่าดู นี่มันเรื่อง แอดเวนเจอร์ไทม์ เชียวนะ พลาดการ์ตูนเรื่องนี้ไปสักตอนหรือสักฉากเดียวก็เท่ากับพลาดเนื้อเรื่องทั้งหมดไปเลย ฉันโบกมือปัดๆ ไล่เขาแล้วพยายามกลับไปตั้งสมาธิดูต่อ ไอซ์คิงกำลังทำตัวงี่เง่าอีกแล้ว แต่ฉันพลาดไปว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น เขาลักพาตัวเจ้าหญิงไปอีกแล้วเหรอ
"ปิดเสียงทีวีมันไม่ช่วยอะไรหรอกนะจ๊ะ ลูกสาว"
ฉันสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแม่พูดขึ้นอีกครั้ง ชั่วขณะหนึ่งฉันตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เสียงเยาะเย้ยในมุมหนึ่งของจิตสำนึกก็คอยย้ำเตือนสถานการณ์ของฉัน อาการความจำเสื่อมชั่วขณะมันเกิดขึ้นได้กับทุกคนนั่นแหละ
"ฉันลืมส่วนสำคัญขนาดนั้นไปได้ยังไงกันนะ สงสัยต้องไปย้อนดูรายการใหม่หมดแล้วล่ะ"
"เธอลืมเรื่องชาติกำเนิดของตัวเองไปเลยเหรอ น่าสนใจดีนี่นา" คำพูดเรียบๆ ข้างตัวยิ่งขยายเสียงเยาะเย้ยในหัวฉันให้ดังขึ้น
"เหอะ! นั่นสิเนอะ!" ฉันตีไหล่เขาเบาๆ เพื่อคลายความอับอาย แล้วเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปทำตามที่แม่สั่ง แม่เข้มงวดมากถ้าเป็นเรื่องพวกนี้
ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของฉันเลยสักนิด
ฉันรีบวิ่งขึ้นข้างบนเพื่อเปลี่ยนเป็นชุดฝึกซ้อม แต่โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมารบกวนสมาธิแวบหนึ่ง พอเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก็ทำให้ฉันยิ้มออกมา
"จ้า! กำลังไปแล้ว แล้วก็ไม่ได้ลืมด้วย" ฉันข้ามการทักทายตามมารยาทไปแล้วตอบคำถามที่ผู้โทรยังไม่ได้เอ่ยปากถามทันทีที่รับสาย
เสียงหัวเราะลอดผ่านลำโพงมาจากปลายสาย
"ลูกสาวของผู้บังคับบัญชาอันดับสามขี้เกียจขนาดนี้ได้ยังไงกัน เอาน่า เอ็มมี่ แสดงความกระตือรือร้นหน่อยสิ" ผู้โทรตอบด้วยน้ำเสียงขบขัน
เมสัน เพื่อนซี้ของฉันตั้งแต่ยังใส่ผ้าอ้อม และเป็นคนที่ไม่เคยพูดอ้อมค้อมถนอมน้ำใจฉันเลย เขาเป็นคนที่พึ่งพาได้และเป็นคนที่ฉันให้ความนับถือมาก แน่นอนว่ารองจากพ่อกับพวกพี่ชายของฉัน
“ก็เพราะว่าลูกสาวคนนี้ชอบที่จะอยู่ห่างจากเหงื่อและรอยฟกช้ำมากกว่าน่ะสิ”
“ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทั้งที่เธอแทบไม่ได้ฝึกเลยแต่กลับต่อสู้เก่งขนาดนี้”
“เขาเรียกว่าอัจฉริยะ ฉันมันอัจฉริยะไงล่ะ เมสเพื่อนซี้ของฉัน”
“ก็ตามใจเธอเลย เอมมี่ โอ๊ย ให้ตายสิ! มานี่...แบบว่าตอนนี้เลยได้ไหม? เฮทเธอร์เพิ่งโผล่มา” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
เมื่อนึกภาพเหตุการณ์ที่อาจจะกำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ ฉันก็รีบเร่งทำธุระของตัวเองพลางอมยิ้มอย่างขบขัน งานที่เขาต้องการให้ฉันทำมันเป็นหน้าที่ของเพื่อนสนิท ฉันจะปฏิเสธเขาได้ยังไงล่ะ? “หนี้บุญคุณของนายกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นะ” ฉันพูดขณะเงี่ยหูฟังเสียงจอแจจากปลายสายของเขา
“ก็ได้ๆ ร้านโปรดของเธอหนึ่งอาทิตย์เต็ม ยกเว้นร้านหรูบ้าๆ นั่นที่อยู่อีกเมืองน่ะ” น้ำเสียงของเขาเจือความสิ้นหวัง และในฐานะเพื่อนซี้ ฉันก็สุขสำราญอยู่กับความทุกข์ของเขา “ตกลง!”
ระหว่างทางออกจากบ้าน ฉันเห็นโนอาห์ยืนรอฉันอย่างอดทนอยู่ที่สนามหน้าบ้าน เขาหันมามองฉันอย่างเข้มงวดเป็นการเตือนเงียบๆ “ฉันรู้ แต่ว่า...” ฉันเริ่มพูดก่อนที่เขาจะส่งสายตาประมาณว่า ‘มันไม่สำคัญหรอก’ มาให้ นอกจากพ่อแล้ว พวกพี่ชายของฉันก็เข้มงวดเรื่องการตรงต่อเวลาและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ฉันยังคิดไม่ออกเลยว่าทำไม ฝูงของเราซ่อนตัวอยู่อย่างดีจากเมืองของมนุษย์และถูกมองว่าเป็นฝูงที่รักสงบ เราไม่ได้ถูกพวกนอกคอกโจมตีมาหลายปีแล้ว และก็ไม่มีการคุกคามจากคนนอกมานานมาก เมืองนี้โดยพื้นฐานแล้วก็เหมือนกับชานเมืองของมนุษย์ทั่วไป ฉันจะไม่ตั้งคำถามกับการสอนที่เข้มงวดของพวกเขาหรอก แต่ถ้ามีเหตุผลให้สักหน่อยก็คงจะดี
เราเดินเป็นระยะทางสั้นๆ ไปยังลานฝึกเพื่อพบกับพี่ชายและเพื่อนๆ ของเรา ฉันยืนอยู่ด้านหลังและมองภาพตรงหน้า พ่อของฉันกำลังฝึกกลุ่มคนห้าคนในการต่อสู้ด้วยมือเปล่า ในขณะที่คนอื่นๆ อยู่ในร่างหมาป่ากำลังซ้อมต่อสู้กัน
มันเป็นภาพที่น่ารื่นรมย์และน่าสนใจ
โลกนี้ โลกของฉัน เป็นโลกที่เต็มไปด้วยทุกสิ่งที่หนังสือนิยายแฟนตาซีหรือเรื่องเหนือธรรมชาติพึงจะมี มนุษย์หมาป่าและสิ่งมีชีวิตในตำนานอื่นๆ มีอยู่จริง แต่มนุษย์กลับไม่เคยล่วงรู้เรื่องนี้เลย
ทำไมน่ะหรือ?
หนังสือประวัติศาสตร์บอกเราว่าทำไมเผ่าพันธุ์ของเราถึงตัดสินใจให้เป็นเช่นนั้น
ฝูงของเราเป็นฝูงเลือดบริสุทธิ์ หนึ่งในหลายๆ ฝูง ไม่ได้ใหญ่โตเท่าฝูงส่วนใหญ่ แต่ก็เป็นที่นับถือของฝูงอื่นๆ ในสหรัฐอเมริกา ฝูงมูนดัสท์อยู่อย่างสันโดษและมักจะปล่อยให้การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจเป็นเรื่องของฝูงใหญ่ๆ อัลฟ่าของเราทำให้เป็นเช่นนั้น และพวกเราก็รู้สึกขอบคุณท่านอย่างสุดซึ้งสำหรับเรื่องนี้ อาณาเขตของเราก็เหมือนกับเมืองเล็กๆ ทั่วไปที่คุณนึกออก มีโรงภาพยนตร์ ร้านกาแฟ ศูนย์การค้า โรงเรียน ที่ทำงาน บ้านสไตล์โคโลเนียลสวยๆ ตามปกติ และยังให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ชานเมืองอีกด้วย มนุษย์ก็อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเราด้วย เพราะมีมนุษย์หมาป่าบางตนมีคู่เป็นมนุษย์ จำนวนของพวกเขามีน้อยกว่ายี่สิบคน ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่คงที่ เราปิดบังตัวตนของเราไว้ ซึ่งทำได้ง่าย เราสามารถออกไปผจญภัยนอกอาณาเขตของเราได้ แต่ต้องระมัดระวัง ยังคงมีภัยคุกคามจากพวกนักล่าอยู่เสมอ ซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเรา และลูกหลานของพวกเขาก็ยังคงสานต่องานนั้นอยู่
ฉันว่านั่นก็เป็นเหตุผลที่ชัดเจนอย่างหนึ่งสำหรับการฝึกของฉัน
เมื่อมองไปรอบๆ ฉันก็เจอคนที่ดูเหมือนจะต้องการความช่วยเหลือจากฉัน พอเข้าไปใกล้ๆ ฉันก็ได้ยินคำตอบซ้ำๆ ที่เขาให้กับเฮทเธอร์เมื่อเธอเข้าไปหาเขา คงเป็นเรื่องการเดทนั่นแหละ เพราะมันเหมือนเดิมทุกครั้ง น่าสงสารจัง
"ไง เมซ ฉันมาแล้ว ไปฝึกกันเถอะ นายสัญญาว่าจะสอนท่าใหม่ให้ฉันนี่นา" ฉันพูดด้วยความกระตือรือร้นจอมปลอม เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะที่เฮทเธอร์หันขวับมา ดวงตาฉายแววรำคาญชัดเจน "ไสหัวไปเลย ยัยเด็กเมื่อวานซืน ผู้ใหญ่เขากำลังคุยกัน" เธอพูดอย่างเกรี้ยวกราด ฉันอยากจะชี้ให้เห็นว่าเราอายุเท่ากัน แต่เธอคงไม่ทันได้คิดกระมัง นั่นคงต้องคุยกันยาวเลยล่ะ ฉันว่านะ
"ใครคือผู้ใหญ่เหรอคะ?" ฉันถาม การเบี่ยงเบนความสนใจเธอจากเมสันเป็นเรื่องง่ายอยู่แล้ว ก็นะ เราไม่ชอบขี้หน้ากันและมักจะทะเลาะกันด้วยวาจาอยู่บ่อยๆ
"ก็พวกเราไง" เธอพูดพลางชี้ไปที่ตัวเองกับเมสัน
"เฮทเธอร์ ฟังนะ ฉันต้องบอกเธอจริงๆ เรื่องนี้ เมสัน... เมสันน่ะ... เขาไม่ได้ชอบเธอขนาดนั้น ฉันว่าเขาก็แสดงออกชัดเจนนะระหว่างที่เธอพยายามเข้าหาเขานับครั้งไม่ถ้วน ได้โปรดเถอะ เลิกพยายามได้แล้ว สิ่งที่พวกเธอสองคนเคยมีร่วมกันมันก็แค่ชั่วครู่ชั่วยาม ซึ่งเธอก็เคยป่าวประกาศเอาไว้อย่างโจ่งแจ้งไม่ใช่หรือไง? แล้วพวกคนที่ชื่นชมเธอจะคิดยังไงล่ะ? ฉันเชื่อว่าผู้ชายคนปัจจุบันที่เธอกำลังคบอยู่คงไม่ชอบการกระทำของเธอตอนนี้แน่ๆ ไม่ชอบเลยสักนิด"
ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดตรงขนาดนั้น แต่เมสันเป็นคนดีเกินกว่าจะปฏิเสธผู้หญิงได้ ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะน่ารำคาญแค่ไหนก็ตาม มันเป็นนิสัยที่บางครั้งเขาก็เกลียด
เธอจ้องเขม็งมาที่ฉันและพยายามหาคำโต้ตอบแต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า
"แก... แก..." ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความอับอายขณะที่ไม่สามารถพูดอะไรออกมาหรือแก้ต่างให้การกระทำของตัวเองได้ เธอรีบเดินจากไป แต่ฉันรู้ว่าเดี๋ยวเธอก็จะทำแบบเดิมอีก ความดื้อด้านของคนคนนี้น่ากลัวจริงๆ
เมสันทรุดตัวลงคุกเข่าแล้วกอดขาฉันเป็นการขอบคุณอย่างสุดซึ้ง "เธอสุดยอดที่สุดเลย! ขอบคุณที่ช่วยฉันให้พ้นจากเธอนะ" เขาพูดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
"โอ๋ๆ เจ้าพ่อดราม่า นายพูดแบบนั้นกับผู้หญิงที่ทำให้นายเป็นหนุ่มเต็มตัวได้ยังไงกัน?" ฉันพูดพร้อมกับยิ้มเยาะขณะตบหัวเขาเบาๆ
เขามองขึ้นมาที่ฉันด้วยสายตาหรี่ลง "ทำไมฉันต้องบอกความลับของฉันให้เธอรู้ด้วย ถ้าเธอจะเอามันมาพูดตอกย้ำฉันแบบนี้?"
ตามประสาเพื่อนซี้กันมาตั้งแต่ยังใส่ผ้าอ้อม ก็มีความลับมากมายที่แบ่งปันกัน การที่เขาเป็นลูกชายของเบต้าและตัวฉันเองเป็นลูกสาวของผู้มีอำนาจอันดับสามของฝูงทำให้มิตรภาพของเราเริ่มต้นได้ง่าย เราเคยเป็นและยังคงเป็นเพื่อนที่ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ สนิทกันมาก ทุกคนคิดว่าพอเราเข้าสู่วัยรุ่นมิตรภาพของเราจะสิ้นสุดลง แต่เราก็พิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่าคิดผิด เราทั้งคู่จะอายุ 18 ในอีกไม่กี่เดือนนี้ เรียนจบมัธยมปลายภายในหนึ่งเดือน และน่าขันที่เราทั้งคู่สอบติดมหาวิทยาลัยบราวน์ เขาได้ทุนนักกีฬาฟุตบอล ส่วนฉันได้ทุนการศึกษา
"เพราะนายรักฉันมากกว่าพีบีแอนด์เจยังไงล่ะ" ฉันพูดพลางดึงหูเขาเบาๆ เขาส่งยิ้มทะเล้นๆ แบบที่ทำเอาสาวๆ ใจละลายมาให้ แต่ฉันกลับเฉยสนิท
"แล้วเธอก็รักฉันมากกว่านูเทลล่า" เขาสวนกลับขณะลุกขึ้นมายกแขนโอบไหล่ฉัน
"มีแค่นายเท่านั้นแหละ เมซ"
ตลอดการฝึกที่เหลือ ฉันฝึกการต่อสู้ด้วยมือเปล่ากับเมสัน ขณะที่พวกพี่ชายของฉันอยู่ในร่างหมาป่าฝึกคนอื่นๆ ในการป้องกันการโจมตี พวกเขาเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในฝูงและยังเป็นฝาแฝดคู่แรกที่เกิดในฝูงในรอบ 20 ปี ความแข็งแกร่งของพวกเขาเทียบเท่ากับเบต้าคนปัจจุบัน ซึ่งนั่นก็ถือเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งแล้ว พวกผู้อาวุโสบอกว่าเป็นเพราะฝูงของเราสงบสุข เทพีจันทราจึงประทานพรให้ สำหรับฉันแล้ว มันเป็นแค่โชคดีล้วนๆ
"วันนี้พอแค่นี้ แยกย้ายได้"
ทุกคนจากไปเมื่อพ่อของฉันสั่งเลิกการฝึก เหลือเพียงครอบครัวของฉัน เมสัน และฉันในสนาม การรวมตัวกันแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การปรากฏตัวของฉันกลับเป็นที่น่าสงสัยเนื่องจากสถานะของฉันในฝูง
พ่อรอจนไม่มีใครอยู่ในระยะที่ได้ยินแล้วจึงเดินมาหาฉัน พ่อของฉันเป็นคนที่น่าเกรงขาม ร่างกายกำยำของพ่อแผ่รัศมีความทรงพลังออกมาพร้อมกับส่วนสูงกว่าหกฟุต ดวงตาของพ่อไม่แสดงอารมณ์ใดๆ มีเพียงครอบครัวเท่านั้นที่โชคดีพอจะได้เห็นมัน
"วันนี้ลูกทำได้ดีมาก เอมมี่ พร้อมจะไปวิ่งเล่นหรือยัง?" พ่อถามฉันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดูอย่างแท้จริง ฉันมองไปที่พวกพี่ชายซึ่งยิ้มให้ฉัน ขณะที่เมสันตบหัวฉันเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าบริเวณนั้นปลอดภัย ฉันพยักหน้าตอบแล้วเดินตามพ่อไปที่ชายป่า
ความตื่นเต้นเริ่มผลิบานในใจฉันจนกระทั่งมันโอบล้อมตัวฉันไว้ทั้งหมด ความตื่นเต้นของฉันกับของหมาป่าในตัวฉันสอดประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ
ตั้งแต่ฉันเปลี่ยนร่างครั้งแรกตอนอายุ 13 ฉันมักจะไปวิ่งเล่นกับครอบครัวเสมอ แต่ไม่เคยไปกับคนอื่นเลย ทุกคนในฝูงคิดว่าฉันเป็นพวกที่เปลี่ยนร่างช้า ใช่สิ ฉันถูกรังแกเรื่องนั้น แต่ก็มีเหตุผลที่ครอบครัวของฉัน ซึ่งรวมถึงครอบครัวของเบต้าและอัลฟ่า เลือกที่จะทำเช่นนั้น การมีอยู่ของหมาป่าในตัวฉันเป็นความลับ ความลับที่สำคัญมาก ฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่พ่อแม่บอกว่ามันดีที่สุดแล้ว
ฉันมองดูพวกพี่ชายเปลี่ยนร่างเป็นหมาป่าสีน้ำตาลเหมือนกันตาสีทอง จากนั้นเมสันก็เปลี่ยนเป็นหมาป่าสีเทาตาสีฟ้า สุดท้ายคือพ่อของฉัน หมาป่าสีน้ำตาลแดงตัวใหญ่ตาสีเข้ม ทั้งหมดมายืนล้อมรอบฉันขณะที่ฉันเปลี่ยนร่าง ใน 'ร่างหมาป่า' ของพวกเรา เราจะมีความสูงเท่ากับผู้ใหญ่คนหนึ่ง หรือเทียบเท่ากับความสูงในร่างมนุษย์ของเรา
เมื่อสะบัดตัว ฉันรู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดผ่านขนของฉัน ทำให้มันพลิ้วไหวไปตามแรงลม
หมาป่าของเมสันเลียข้างแก้มฉันขณะที่พวกพี่ชายและพ่อของฉันงับหูฉันเล่นเบาๆ นานแล้วที่ฉันไม่ได้อยู่ในร่างนี้ และหมาป่าของพวกเขาก็ตื่นเต้นไม่แพ้กันสำหรับการวิ่งเล่นครั้งนี้
'วิ่งไปตามทางนะ เราจะไปกันให้ถึงทะเลสาบ' ข้อความของพ่อส่งมาถึงฉันผ่านคลื่นการสื่อสารทางโทรจิตของเผ่าพันธุ์เรา - มายด์ลิงก์
'ค่ะ พ่อ!' ฉันตอบขณะที่โนอาห์กับโจนาห์วิ่งนำไปก่อน เมสันอยู่ข้างฉันเสมอเหมือนเคยขณะที่ฉันวิ่งตามพวกเขาไป ส่วนพ่อคอยดูแลอยู่ข้างหลัง
ทั้งในร่างมนุษย์และร่างหมาป่า การเติบโตของฉันเร็วกว่าหมาป่าตัวเมียตัวอื่นๆ สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อคุณได้รับพรเป็นจิตวิญญาณหมาป่าที่หายากยิ่ง ถ้าจะให้บันทึกไว้ ฉันคือหมาป่าขาวตัวแรกในรอบศตวรรษ ไม่มีใครสนใจจะอธิบายปรากฏการณ์นี้และตัดสินใจกันง่ายๆ ว่าฉันควรจะใช้ชีวิตในฐานะสมาชิกฝูงที่ไม่มีหมาป่า
ฉันมีคำถามมากมาย แต่ฉันควรจะถามใคร? ใครจะตอบฉันตามความจริง?
ฉันต้องรู้ให้ได้
































































































































































































































