บทที่ 5
ฉันมองดูเงียบๆ ขณะที่อัลฟ่าหนุ่มคว้าคอของทั้งคู่ คนละข้างด้วยมือแต่ละข้าง แล้วดึงพวกเขาแยกออกจากกัน พร้อมกับตวาดด้วยน้ำเสียงอัลฟ่าอันดังกึกก้อง “สยบ!”
ทั้งคู่ดิ้นรนแต่ในที่สุดก็ทรุดลงคุกเข่า คำรามใส่กันเสียงดัง
“ข้าเพิ่งบอกพวกเจ้าไปว่าห้ามชกต่อย ไม่ทันไรที่ลงจากรถพวกเจ้าก็ลงไม้ลงมือกันแล้ว ทะเลาะกันเรื่องอะไร?”
“มันจะเอาประเป๋าผม!”
“เปล่านะ! กระเป๋าของนายอยู่ตรงโน้น!”
ฉันอดไม่ได้ที่จะเอามือกุมขมับขณะฟังพวกเขาเถียงกัน ห้ามทะเลาะวิวาท ห้ามยาเสพติด ห้ามข่มขืน และห้ามเมาหัวราน้ำ ฟังดูเหมือนฝูงที่แค่ต้องการให้ทุกคนมีความรับผิดชอบ มีเหตุผล และดูแลซึ่งกันและกัน แต่นี่คือนักรบที่อายุน้อยที่สุดสองคนที่ผ่านคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการ กลับทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต
ฉันเดินไปที่กระเป๋าอีกใบที่เหมือนกับใบที่พวกเขากำลังทะเลาะกันอยู่ แล้วคุกเข่าลงข้างๆ ฉันตรวจสอบมันอย่างละเอียดจนในที่สุดก็เจอป้ายชื่อเทย์เลอร์ติดอยู่ ฉันถอนหายใจแล้วส่ายหัวขณะหยิบกระเป๋าขึ้นแล้วเดินไปหาฝาแฝด ฉันยืนเงียบๆ จนกระทั่งพวกเขาหยุดเถียงกันแล้วสังเกตเห็นฉัน
“แกต้องการบ้าอะไรวะ!” เทย์เลอร์ตะโกนขณะกระชับมือที่จับกระเป๋าที่เขาถืออยู่ให้แน่นขึ้น
“ฉันคิดว่าอายุสิบแปดแล้ว พวกนายน่าจะโตพอที่จะดูป้ายชื่อบนกระเป๋าก่อนจะมาเถียงกันนะ แถมพวกนายยังเป็นฝาแฝด ฉันนึกว่าของทุกอย่างของพวกนายจะเหมือนกันซะอีก”
น้ำเสียงของฉันเบาและอ่อนน้อมโดยธรรมชาติ ฉันได้เรียนรู้อย่างเจ็บปวดว่าจะพูดอย่างไรไม่ให้ใครขุ่นเคือง เพราะพ่อใช้รายงานเรื่องการไม่ให้ความเคารพใดๆ ก็ตามเป็นเหตุผลอันสมควรที่จะเรียกฉันไปที่ห้องทำงานของเขาเพื่อทุบตีฉันตอนเด็ก และเรียกไปศูนย์ฝึกหลังจากที่ฉันทำลายโต๊ะทำงานของเขาเมื่อสี่ปีก่อน
ฉันเอื้อมมือลงไปจับป้ายชื่อบนกระเป๋าที่ฉันถืออยู่แล้วพลิกมันในมือให้เห็นชื่อบนป้าย ก่อนจะมองไปที่เทย์เลอร์พร้อมกับเอียงคอเล็กน้อย เขาคำรามเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะโยนกระเป๋าที่ถืออยู่อัดเข้าหน้าอกของไทเลอร์อย่างแรง อัลฟ่าเดเมียนปล่อยพวกเขาทั้งคู่แล้วถอยหลังไปขณะที่พวกเขาลุกขึ้นยืน
เทย์เลอร์ตรงเข้ามาหาฉันอย่างรวดเร็ว ฉกกระเป๋าของเขาไปจากมือฉันก่อนจะเดินไปยังกองสัมภาระที่ฉันหยิบมันมา ฉันถอนหายใจเบาๆ ขณะมองหากระเป๋าเป้ใบที่สองและกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของฉันในกองสัมภาระ โชคไม่ดีที่ฉันหามันไม่เจอเร็วพอ และมีคนอื่นคว้าไปแล้วอย่างน้อยหนึ่งใบ
ฉันเริ่มมองหาแหล่งน้ำ ฉันเดินทางไปตามฝูงต่างๆ ในโครงการนักรบกับนักรบฝึกหัดสองคนเดิมๆ มาตลอดสิบแปดเดือน ฉันจึงรู้ทันลูกไม้ของพวกเขาแล้ว พอรถบัสขับออกไปนั่นแหละฉันถึงเห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของฉันและของข้างในทั้งหมดกระจายเกลื่อนอยู่ในโคลน ฉันถอนหายใจแล้วเสยผมสีน้ำตาลช็อกโกแลตของตัวเอง รู้สึกผิดหวังในตัวเอง พนันได้เลยว่าเจ้าแฝดนั่นถูกใช้เป็นตัวเบี่ยงเบนความสนใจของฉัน
ฉันเดินช้าๆ ไปทางแหล่งน้ำ ทดลองดูว่าน้ำลึกแค่ไหน เพราะฉันไม่คิดว่าตัวเองจะทนความเจ็บปวดจากบาดแผลรอยกรีดและรอยไหม้จำนวนมากทั่วร่างกายหากมันเปียกน้ำได้ โดยเฉพาะแผลพุพองขนาดใหญ่ที่พันรอบต้นขาซ้ายของฉัน
ฉันมองไม่เห็นคนอื่นๆ ในกลุ่ม แต่ฉันรู้ว่ามีอีกสองคนกำลังเถียงกันเรื่องสัมภาระอยู่ กฎเกณฑ์ค่อนข้างง่ายที่จะปฏิบัติตาม แต่ฝูงเขี้ยวแดงเป็นฝูงที่โหดเหี้ยมมาก ทุกคนจึงใช้ชีวิตด้วยการต่อสู้เพื่อทุกสิ่งที่คุณมี อัลฟ่าเดเมียนทำให้พวกเขาสงบลงได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงทุ้มกึกก้องอีกเสียงหนึ่ง ทรงพลังและเป็นเสียงของอัลฟ่าจ่าฝูงอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันหยุดอยู่ที่ขอบน้ำเพราะดูเหมือนว่ามันจะลึกกว่าที่ฉันคาดไว้เมื่อเทียบกับระยะทางที่ของของฉันถูกโยนไป
“พอได้แล้ว! ตลอดหลายปีที่ข้าทำงานกับฝูงเขี้ยวแดงมา ข้าไม่เคยเจอกลุ่มไหนที่จ้องจะทะเลาะกันเรื่องง่ายๆ อย่างสัมภาระเท่านี้มาก่อนเลย! โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทุกอย่างติดป้ายชื่อและนามสกุลก่อนจะถูกนำขึ้นรถของข้า ตอนนี้ ทุกคน เข้าแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง! เดเมียน!”
“ครับ ท่านพ่อ”
ฉันประหลาดใจที่เขาใจเย็นได้ขนาดนั้นเมื่อพิจารณาจากการตะคอกของพ่อเขา
“ไปช่วยชายหนุ่มที่อยู่ตรงบ่อน้ำนั่น ไม่เคยเลยที่ข้าจะเห็นการไม่ให้เกียรติสมาชิกในฝูงเช่นนี้มาก่อน”
“ครับผม”
ฉันหยุดกึกอยู่ห่างจากขอบน้ำเพียงไม่กี่ฟุต อัลฟ่าส่งลูกชายตัวเองมาช่วยฉันเนี่ยนะ? ฉันทั้งตกใจทั้งงุนงงกับความใจดีของพวกเขาที่มีต่อคนแปลกหน้าอย่างสิ้นเชิงในอาณาเขตของตัวเอง ฉันเคยได้ยินเรื่องเล่ามาว่าพวกหมาป่าพเนจรไม่เคยมีใครได้เห็นอีกเลยหลังจากล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของพวกเขา ว่าฝูงรุ่งอรุณสีเลือดนั้นโหดเหี้ยมร้ายกาจแค่ไหน แต่ฉันกลับเห็นความเอาใจใส่และความเมตตาในช่วงสามสิบนาทีที่อยู่ที่นี่มากกว่าฝูงไหนๆ ที่ฉันเคยผ่านมาเสียอีก บางทีฉันอาจจะไม่ต้องกลายเป็นหมาป่าพเนจรก็ได้ บางทีฉันอาจจะมาอยู่ที่นี่แทนก็ได้นะ พวกเขาดูเป็นมิตรดี
“นี่ โคลใช่ไหม?” เดเมียนเอ่ยขึ้นพร้อมกับแตะแขนฉัน ดึงฉันออกจากภวังค์ความคิดอย่างรวดเร็ว
“ครับ ท่าน” ฉันตอบออกไปได้แค่นั้น ฉันมีปัญหาในการพูดคุยกับหมาป่าระดับสูงมาตั้งแต่เด็กแล้ว การเงียบไว้มันง่ายกว่าเสมอ
“ไปดูกันว่าจะเก็บของของนายขึ้นมาได้ยังไงดีไหม?” ฉันพยักหน้าเบาๆ
“ครับ ขอบคุณครับ”
เราเดินกลับไปที่บ่อน้ำ ฉันตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อลมเริ่มพัดเบาๆ แม้ว่าฉันจะมาจากแถบที่มีหิมะตกเป็นประจำในฤดูหนาว แต่ฉันก็หนาวง่ายมาตลอดตั้งแต่ถูกเฆี่ยนตีคราวนั้น
ทันทีที่ฉันกำลังจะก้าวลงไปในน้ำ อัลฟ่าเดเมียนก็คว้าตัวฉันไว้ ทำเอาฉันสะดุ้งสุดตัวจนเผลออุทานออกมา ฉันรู้สึกอายตัวเองที่กลั้นเสียงอุทานไว้ไม่ได้ แช่งชักความวิตกกังวลของตัวเองที่มันกำเริบขึ้นมารวดเร็วขนาดนี้ อัลฟ่าเดเมียนนิ่งค้างไป ขณะที่ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วบริเวณ
“นายโอเคไหม?” ฉันพยักหน้าขณะเริ่มพูดตะกุกตะกัก
“ผ-ผมโอเคครับ พ-พอดีที่ใหม่ๆ มักจะทำให้ผมป-ประหม่าน่ะครับ ผ-ผมขอโทษครับ”
ทันทีที่ฉันพยายามเค้นคำตอบง่ายๆ นั้นออกมาได้ สมาชิกฝูงที่เหลือก็ระเบิดเสียงหัวเราะลั่น ฉันได้ยินเสียงเจ้าพวกแฝดเยาะเย้ยฉันอย่างชัดเจน
“ลูกชายอัลฟ่าขี้แยชะมัด”
ฉันกำหมัดแน่นและกลั้นเสียงคำรามไว้เมื่ออัลฟ่าเดเมียนเริ่มพูดอีกครั้ง
“นายดูเหมือนจะเริ่มหนาวแล้วนะ งั้น...” เขาพูดช้าลงขณะเตะรองเท้า ถอดถุงเท้าและกางเกงออก “ฉันจะลงไปเอากระเป๋าของนายกับของอะไรก็ตามที่อยู่ใกล้ๆ มาให้ แล้วจะกลับไปโยนที่เหลือมาให้ ปกติหน้าหนาวหิมะจะตกมากกว่าฝน แต่หน้าหนาวปีนี้อากาศค่อนข้างอุ่น ฝนตกหนักมาตลอดสัปดาห์ที่แล้ว และตรงนี้เป็นที่ลุ่มใกล้กับลานฝึก ส่วนของที่จมลงไปก้นบ่อแล้วฉันยังคลำไม่เจอ เดี๋ยวพอน้ำแห้งมันก็คงจะโผล่ขึ้นมาเอง ฉันจะดูแลให้มันกลับไปถึงมือนายแน่เมื่อเราเจอมัน”
พอเขาพูดจบ เขาก็ลุยน้ำออกไปถึงกระเป๋าสัมภาระของฉันแล้ว ปกติฉันจะพกมาแค่ใบนั้นกับเป้อีกสองใบ ของสำคัญที่สุดของฉันจะอยู่ในเป้ใบที่ฉันเก็บไว้กับตัวเสมอ ขณะที่อัลฟ่าเดเมียนกำลังนำกระเป๋าของฉันกลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าเต็มกำมือ พวกในฝูงก็เริ่มหัวเราะอีกครั้ง ส่งผลให้เสียงทรงพลังของอัลฟ่าดังขึ้นอีกครา
“เงียบ! ในเมื่อพวกนายหลายคนทำตัวไม่ต่างจากเด็กๆ ฉันก็จะปฏิบัติต่อพวกนายแบบนั้นแหละ ยืนนิ่งๆ เป็นแถว ห้ามขยับหรือพูดจนกว่าจะถูกเรียกชื่อ ทุกคนที่อยู่ข้างหน้าฉัน หยิบกุญแจห้องที่เพิ่งได้รับออกมา แพทริก เก็บกุญแจ โดมินิกกับลูคัส”
“ครับ ท่าน”
ฉันได้ยินเสียงตอบรับพร้อมเพรียงกันขณะที่รับก้อนเสื้อผ้าเปียกๆ อีกสองก้อนที่ลอยมาทางฉัน
“โดมินิก นายมีกุญแจชั้นสามไหม?”
ฉันเอียงคอเมื่อได้ยินอัลฟ่าเดเมียนสำลักเสียงหัวเราะ
“ครับ ท่าน”
“แบ่งกุญแจครึ่งหนึ่งให้ลูคัส ทีนี้ ในเมื่อพวกนายทำตัวเป็นผู้ใหญ่เก็บของตัวเองกันไม่ได้ แถมยังกระตือรือร้นที่จะทำลายข้าวของของสมาชิกฝูงคนอื่นนัก เบต้าของฉัน แพทริก จะไปหยิบกระเป๋าแล้วเรียกชื่อตามป้ายชื่อ ยกมือแล้วพูดว่า ‘อยู่นี่’ เมื่อได้ยินชื่อตัวเอง แล้วแพทริกจะส่งกระเป๋าของพวกนายให้อัลฟ่าโดมินิกหรืออัลฟ่าลูคัส คนใดคนหนึ่งในสองคนนั้นจะส่งกุญแจห้องใหม่บนชั้นสามให้พวกนาย มีลิฟต์อยู่ แต่มันใช้สำหรับแม่บ้านขนของเข้าห้องเก็บของกับในกรณีฉุกเฉินทางการแพทย์เท่านั้น บันไดอยู่ในอาคารทางทิศเหนือสุดของตึก”
“นี่เป็นชิ้นสุดท้ายที่ฉันมองเห็นลอยอยู่บนผิวน้ำแล้วล่ะ” เดเมียนพูดพลางโยนเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายของฉันมาให้ “เราคงต้องมาดูกันอีกทีตอนเช้า บางทีเราอาจจะเจอของที่จมไปแล้วเมื่อแดดออกก็ได้”
ฉันพยักหน้าเบาๆ ขณะบิดน้ำออกจากเสื้อผ้าในมือแล้วโยนมันลงกระเป๋า ฉันคุกเข่าลงเพื่อรูดซิปปิดกระเป๋า แต่แล้วก็ได้ยินเสียงไทเลอร์เริ่มพล่ามอีกครั้ง






























































































































































































































































