บทที่ 3 ยอมจำนน

“จดทะเบียนสมรสไง แต่งงานกันแล้ว ก็ต้องจดทะเบียนสมรสกันสิ” เยาวภาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ

“แต่ตอนแรกคุณย่าไม่ได้บอกนี่ครับ ว่าจะต้องจดทะเบียนสมรสด้วย”

“ต้องบอกด้วยเหรอ? คนเราแต่งงานกันมันก็ต้องจดทะเบียนกันอยู่แล้วนี่” ธีรชลหันไปมองเอื้องดาวด้วยสายตาโกรธจัด เขาคิดว่านี่จะต้องเป็นแผนของเธอแน่ๆ

“เธอใช่มั้ยที่คิดเรื่องนี้ขึ้นมา”

“เอื้องไม่รู้เรื่องนะคะ”

“อย่ามาแก้ตัว!!! แกน่ะอยากจะจับลูกฉันใจจะขาด ถ้าไม่ใช่แผนของแกแล้วใครมันจะทำเรื่องสิ้นคิดแบบนั้น”

“คุณแม่ครับ คิดให้ดีนะครับ จดทะเบียนสมรสมันมีผลทางกฎหมาย ถ้าแม่พยาบาลนี่คิดจะมาเกาะพวกเรา...”

“หุบปากกันให้หมด ฉันเป็นคนคิดเรื่องนี้เองคนเดียว เอื้องเขาไม่รู้เรื่องด้วยจริงๆ” เยาวภาโวยขึ้น

“คุณแม่คิดอะไรอยู่คะ อยากจะให้อีนังพยาบาลนี่มันมาฮุบสมบัติของตระกูลหรือไง ถึงได้จัดแจงให้มันจดทะเบียนกับตาธีร์ แค่ลดตัวลงไปแต่งงานกับมันนี่ก็มากพอแล้ว”

“ฮุบสมบัติเหรอ? ถ้าเอื้องเขาเป็นคนวางแผนทั้งหมดนี้ ไม่สู้ขอให้ฉันโอนสมบัติให้เขาตรงๆ เลยดีกว่ามั้ย พวกแกทุกคนคงลืมกันไปหมดแล้วสินะ ว่าทุกอย่างยังเป็นชื่อของฉันอยู่ ตราบที่ฉันยังไม่ตาย” ทุกคนต่างเงียบลงในที่สุด สามพ่อแม่ลูกมองหน้ากันเพื่อปรึกษา

“เอื้องว่าไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกค่ะคุณย่า” เอื้องดาวเอ่ยขึ้น เธอเองก็ไม่ได้อยากจะจดทะเบียนสมรสกับเขาเหมือนกัน ไม่ได้อยากจะแต่งงานกับเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้วด้วยซ้ำ

“ไม่ต้องแสดงเป็นคนดีหรอก พูดแบบนี้แกจงใจกระตุ้นให้คุณแม่เร่งให้ตาธีร์จดทะเบียนกับแกใช่มั้ย?” ธารารัตน์โวยขึ้นทันที

“ผมไม่จด” ธีรชลยืนยันเสียงแข็ง ยิ่งเขาหันไปเห็นจิรนิษฐ์ยืนมองด้วยสายตาไม่พอใจ เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าให้ตายอย่างไร เขาก็ไม่มีทางจะจดทะเบียนสมรสกับเอื้องดาวเด็ดขาด

“ก็ได้...งั้นฉันจะทำพินัยกรรมยกทุกอย่างให้เอื้องดาวแทน”

“คุณแม่!!!” ทั้งพ่อและแม่ของธีรชลต่างก็ร้องขึ้นพร้อมกัน และเหมือนว่าไม้ตายนี้จะใช้ได้ผลเสียด้วย ธนพัฒน์พ่อของธีรชลรีบเดินเข้าไปกระซิบบอกกับลูกชายทันที

“จดๆ ไปเถอะน่า แล้วค่อยหย่าก็ได้ ไม่เสียหายอะไรนักหนาหรอก ถือซะว่ารักษาสมบัติของตระกูล”

“แต่ผมมีแฟนอยู่แล้วนะพ่อ แค่มาแต่งงานบ้าบออะไรนี่ก็ทำให้แฟนของผมเสียใจมากพออยู่แล้ว”

“หย่ากับนังพยาบาลนี่แล้ว แกอยากจะไปจดกับแฟนแกก็ไม่มีใครว่าหรอก แต่ถ้าย่าแกยกสมบัติให้มันไป แบบนั้นเราจะไม่ได้อะไรเลยนะ”

“ย่าไม่กล้าทำหรอก...”

“กล้าหรือไม่กล้าพ่อก็ไม่อยากเสี่ยง ทำตามที่ย่าต้องการไปก่อน” ธีรชลไม่มีทางเลือก เขาได้แต่มองหน้าเอื้องดาวด้วยสายตารังเกียจ

สุดท้ายธีรชลกับเอื้องดาวก็จำใจต้องจดทะเบียนสมรสกัน ท่ามกลางสายตาของแขกที่มาร่วมงานในวันนี้ ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวต่างก็แสดงสีหน้าอมทุกข์ ขมขื่น เป็นงานแต่งที่มีคนมีความสุขอยู่แค่คนเดียว นั่นก็คือเยาวภา

แม้แต่พ่อแม่ของเอื้องดาวก็ยังรับรู้ถึงความไม่ปกติของงานแต่งในวันนี้ จนต้องเรียกลูกสาวมาถามหลังงานจบ

“มันเรื่องอะไรกันแน่เอื้อง เล่าความจริงมาให้หมด งานแต่งทำไมมันดูไม่มีความสุขเลย แล้วไหนจะเรื่องที่เจ้าบ่าว...”

“แม่...เรื่องมันยาวมากจริงๆ เอาไว้เอื้องจะหาเวลาเล่าทุกอย่างให้แม่ฟัง ตอนนี้แม่รู้เท่านี้ไปก่อนนะ” เอื้องดาวบอกกับแม่ของตัวเอง

“เอื้องมีความสุขหรือเปล่าลูก” ใจของคนเป็นแม่ เห็นแววตาของลูกสาวก็รับรู้ได้แล้ว ว่าเอื้องดาวไม่มีความสุขเลย แต่ก็เคารพการตัดสินใจของลูก ทั้งสองคนกอดกันแน่นก่อนที่พ่อแม่และญาติพี่น้องของเอื้องดาวจะขอตัวกลับ

ส่วนเอื้องดาวก็ยืนรอธีรชลอยู่ที่หน้าโรงแรม เพราะเขารับปากว่าจะพาเธอกลับไปส่งที่บ้าน ตามคำสั่งของเยาวภา แต่ก็ผ่านมานานมากแล้ว เขาแค่ไปเอารถที่ลานจอดรถไม่ใช่หรือ ทำไมถึงได้นานขนาดนี้กัน

“คงไม่ใช่ว่าจะทิ้งเราไว้ที่นี่หรอกนะ” เอื้องดาวพูดกับตัวเอง เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเธอยืนรอเขานาเกินไปแล้ว

‘คุณออกมาหน้าโรงแรมหรือยัง?’ เอื้องดาวตัดสินใจส่งข้อความไปถามเขา แต่เมื่อย้อนกลับขึ้นไปดูข้อความเก่าๆ ที่เธอส่งไปหาเขา ก็พบว่าธีรชลไม่ได้กดเข้ามาอ่านข้อความของเธอมาเป็นปีแล้ว ไม่ว่าเธอจะส่งอะไรไปก็ตาม ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน ถ้าเธอฝืนยืนรอเขาต่อไป จนถึงพรุ่งนี้ก็คงไม่ได้กลับบ้านแน่

หญิงสาวตัดสินใจเรียกแท็กซี่เพื่อกลับไปที่บ้าน หลังที่เธออาศัยอยู่กับเยาวภา ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองที่จัดงานแต่งมาก ถึงอย่างไรแบบนี้ก็ดีกว่ายืนรอธีรชลอยู่อย่างลมๆ แล้งๆ ป่านนี้เขาก็คงจะออกไปกับคนรักของเขาแล้ว อะไรกันที่ทำให้เธอคิดว่าเขาจะพาเธอกลับไป

เสียงแตรรถดังขึ้นทำให้เอื้องดาวสะดุ้งตกใจ กระจกรถเลื่อนลงปรากฏให้เธอเห็นหน้าคนขับชัดเจน มันยิ่งทำให้เธอตกใจเสียยิ่งกว่าเสียงแตรรถเมื่อครู่เสียอีก

“ยืนเซ่ออะไรอยู่ได้ ขึ้นรถสิ! ฉันอยากกลับไปนอนแล้ว” ธีรชลตะคอกเสียงดัง เมื่อเอื้องดาวได้สติจึงรีบเปิดประตูขึ้นไปนั่งที่เบาะด้านหลัง ก่อนที่รถหรูของธีรชลจะแล่นออกจากโรงแรม มุ่งหน้าไปที่บ้านของเยาวภา

บทก่อนหน้า
บทถัดไป