บทที่ 5 ตอนที่ 5

บาสเตียน แอสตัน เจ้าพ่อแห่งวงการยานยนต์แห่งอเมริกาเหนือขับรถสปอร์ตออกมาจากตึกสูงระฟ้าจำนวนสามตึกที่เชื่อมต่อกันที่ชั้นสิบของตึกอย่างสมบูรณ์แบบด้วยความเร็วสูง ใบหน้าหล่อระเบิดติดกระด้างแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มหยันตลอดเวลา เมื่อนึกถึงเหตุที่ทำให้ตัวเองต้องรีบเผ่นออกมาจากที่บัญชาการส่วนตัวปานสายฟ้าแลบแบบนี้ ซึ่งสาเหตุนั้นจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ ถ้าไม่ใช่ผู้หญิง!

พวกหล่อนน่าเบื่อ น่ารำคาญ และไม่ว่าเขาจะใช้บอดี้การ์ดมากมายสักแค่ไหน แต่พวกหล่อนก็ใช้ความสามารถที่มันอัดแน่นอยู่ในสันดานของผู้หญิงหลอกล่อเข้ามาสร้างความวุ่นวายในออฟฟิศของเขาจนได้ เขาปวดหัวทุกวันกับแม่ผู้หญิงพวกนี้ และก็ซาบซึ้งดีแล้วว่าการไล่พนักงานหรือบอดี้การ์ดออกไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ถาวร

มือหนาสีแทนหยิบโทรศัพท์มือถือบางเฉียบขึ้นมาแนบหู

“ผมจะไปเมืองไทยค่ำนี้ เตรียมตั๋วเครื่องบินและประสานงานกับออฟฟิศที่กรุงเทพฯ ให้เรียบร้อย อย่าให้มีอะไรผิดพลาดอย่างเด็ดขาด”

เสียงราบเรียบแต่ทรงอำนาจยิ่งนักถูกกรอกไปตามสายโทรศัพท์เข้าหูของเลขาฯ ส่วนตัว และเมื่อคู่สนทนาตอบรับความต้องการของตัวเองแล้ว บาสเตียนก็ตัดสายสนทนาและโยนเจ้าโทรศัพท์มือถือลงกับเบาะนั่งคู่คนขับอย่างไม่แยแสมันอีก ชายหนุ่มหักพวงมาลัยรถมุ่งหน้าตรงไปยังสนามบินนานาชาติทันที

ร่างสูงใหญ่ของวูลฟ์ เมอร์ดิสันยืนกอดอกพิงเสาของศาลากลางสวน โดยมีแก้วเหล้าที่ยังมีน้ำสีอำพันหลงเหลือเล็กน้อยอยู่ในมือใหญ่ ดวงตาสีทองอร่ามเข้มจัดขึ้นเมื่อแหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่ตอนนี้เหลือแค่เสี้ยวเล็กๆ

‘คืนข้างแรม...ก็คงเหมือนกับหัวใจของเขาล่ะมั้งที่มันมืดดำ มืดมอดมาเนิ่นนาน’

คนตัวโตแสยะยิ้มให้กับตัวเอง ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้ามานั่งภายในศาลา เฟอร์ดินานที่ยืนรับใช้อยู่ไม่ห่างเดินขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีก และเมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มเทเหล้าลงคอไปจนหมด เขาก็รีบรินให้อีกครั้ง

“คุณวูลฟ์กำลังเครียด...”

เจ้าของชื่อละสายตาที่กำลังจ้องแก้วเหล้าในมือขึ้นมาจ้องหน้าคนพูด ก่อนจะยิ้มน้อยๆ

“ทำไมถึงคิดว่าฉันเครียดล่ะเฟอร์”

“ผมรับใช้คุณวูลฟ์มาตั้งแต่เกิด ผมจึงย่อมรู้ดีว่าตอนนี้คุณวูลฟ์กำลังคิดอะไรอยู่”

“ขนาดนั้นเชียวหรือ งั้นลองสาธยายให้ฉันฟังหน่อยสิว่า นายเห็นอะไรจากสายตาของฉันบ้าง”

วูลฟ์จ้องหน้าคนสนิทนิ่ง และหากเป็นในยามปกติเฟอร์ดินานคงไม่กล้าจะสบตากับเจ้านายหนุ่ม แต่ในยามนี้มันคือคำสั่ง และคำสั่งของวูลฟ์ก็ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าบัญชาของพระเจ้าเสียอีก

“นายเห็นอะไรบ้างล่ะ”

“ผมเห็นความเป็นกังวลของคุณวูลฟ์ ทั้งเรื่องของคุณแฟรงซ์และเรื่องของคู่หมั้น”

วูลฟ์ปรบมือเบาๆ ให้กับคนสนิท ก่อนจะเอื้อมไปหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาเทลงคอจนหมดทุกหยด และเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาด้วยดวงตากระด้างตามความเคยชิน

“นายพูดถูกทุกอย่าง ฉันกังวลในทุกเรื่องที่นายพูดมานั่นแหละ แต่นายยังเห็นไม่หมดหรอก เพราะยังมีอีกเรื่องที่มันทำให้ฉันนอนไม่หลับตลอดเวลาสามอาทิตย์ที่ผ่านมา”

“คุณวูลฟ์คงไม่ได้หมายถึง...”

ดวงตาคมกริบของวูลฟ์วาววับขึ้นมาทันควัน และมันก็น่าสยองขวัญนักในความคิดของเฟอร์ดินาน

“ผู้หญิงคนนั้นหรือครับ...นี่คุณวูลฟ์ยังไม่ลืมเธอ...”

“ใครจะไปลืมแม่ผู้หญิงที่ขโมยกระเป๋าสตางค์ของตัวเองได้ง่ายๆ ล่ะ แล้วคนอย่างวูลฟ์ เมอร์ดิสันไม่เคยถูกลูบคมแบบนี้มาก่อน และแน่นอนว่าเจ้าหล่อนได้ชดใช้อย่างสาสมแน่นอน”

น้ำเสียงของวูลฟ์ราบเรียบแต่สายตาคมกริบกลับอัดแน่นไปด้วยไฟบรรลัยกัลป์ และแน่นอนว่าแม่ผู้หญิงคนนั้นคนที่วูลฟ์เอ่ยถึงคงใกล้ชะตาขาดเต็มทนแล้ว เฟอร์ดินานคิดอย่างขยาด แล้วก็อดไม่ได้ที่จะชวนเจ้านายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องคุย

“วันนี้เป็นคิวของนางแบบจากรัสเซียครับ คุณวูลฟ์จะให้ผมเรียกเธอมาเลยหรือเปล่าครับ”

สิ้นคำถามนั้น แก้วเหล้าในมือของวูลฟ์ก็หยุดชะงักอยู่ที่ปลายคาง ดวงตาคมกริบตวัดมาจ้องหน้าคนสนิท

“คืนนี้ฉันอยากหลับมากกว่าทำอย่างอื่น”

“ครับคุณวูลฟ์”

รอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากหยักสวยที่น้อยคนนักจะได้เห็นผุดขึ้นมาให้เฟอร์ดินานเห็น ก่อนที่เจ้าของรอยยิ้มจะก้าวยาวๆ เดินหายเข้าไปในตัวตึกอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้คนสนิทอย่างเฟอร์ดินานมองตามไปด้วยความห่วงใย

หลังเลิกงานจากปั๊มน้ำมัน พุดซ้อนก็ไปรับจ๊อบล้างชามก๋วยเตี๋ยวที่หน้าปากซอยอยู่จนสองทุ่มครึ่งถึงจะได้กลับมาที่บ้าน หญิงสาวทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเก่าๆ ที่มีเพียงตัวเดียวภายในบ้านหลังเล็กๆ ด้วยความอ่อนเพลีย กำลังจะม่อยหลับไปแต่เสียงของน้าบานเย็นก็ดังขึ้นมาซะก่อน

“กลับซะดึกเชียวนะยายพุด”

หญิงสาวยันตัวนั่งตรง และหันไปจ้องหน้าน้าของตัวเอง

“พุดไปทำงานหาเงินมาจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าไฟ ค่าน้ำ แล้วก็ค่าใช้จ่ายของน้าเย็นไง ถ้าพุดกลับเร็ว เงินมันจะพอใช้หรือไง”

คำพูดแข็งๆ ของหลานสาวทำเอาบานเย็นถอนใจออกมา หล่อนไม่ได้รักใคร่ไยดีอะไรพุดซ้อนนักหนาหรอก แต่ก็ไม่ถึงกับเกลียดชังอะไร แต่ที่เลี้ยงดูมาจนโตนี่ก็เพราะต้องการเรียกร้องทุกอย่างจากเศรษฐีเนาว์ โชติวรรธนาเท่านั้นเอง หล่อนรอมานานแล้ว รอคอยวันที่จะสุขสบาย และวันนั้นก็ใกล้จะเดินทางมาถึงเต็มที่แล้ว

“เออๆ น้ารู้แล้วล่ะน่า ไม่ต้องมาทวงบุญคุณหรอก”

บานเย็นกระแทกก้นลงนั่งบนเก้าอี้ไม้เก่าๆ ที่ตั้งอยู่ข้างๆ โซฟาที่พุดซ้อนนั่งอยู่อย่างแรง และก็ต้องหน้าเบี้ยวเมื่อความเจ็บระบมวิ่งมาเยือนที่ก้น

“พุดไม่ได้ทวงบุญคุณน้าเย็นหรอกนะ แค่บอกเหตุผลให้ฟัง เอาละ พุดจะไปอาบน้ำแล้ว”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป