บทที่ 4 บทที่ 4 หนุ่มน้อยหน้าหยก

เมิ่งอ้ายเยว่เก็บตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงนั้นซ่อนเอาไว้เป็นอย่างดี นางเก็บเงินไปพลางก็ก่นด่าไป๋จิ่งหยวนไปพลาง นางไม่คิดเลยว่าเขาจะปากเสียมากถึงขนาดนี้

หญิงสาวจัดการแบ่งเงินเป็นสัดส่วน ส่วนหนึ่งเอาไว้ติดตัวยามต้องการใช้สอย ส่วนหนึ่งเก็บเอาไว้ใช้ยามจำเป็น จะให้คนในจวนรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่านางไปขูดรีดเงินมาจากไป๋จิ่งหยวนท่านโหวหน้าโง่ผู้นั้น

ยามเช้าของวันต่อมา นางก็รีบตื่นแต่เช้าเพื่อจะไปทำความเคารพพ่อแม่บุญธรรมเหมือนเช่นเคย แต่ทว่าวันนี้กลับต่างออกไปจากทุกวัน เถียนฮูหยินให้สาวใช้มาปรนนิบัตินางแต่งกายตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อนางสอบถามก็ได้ความว่าวันนี้จะมีแขกมาที่จวน เถียนฮูหยินจึงให้นางแต่งกายให้ดีดีเสียหน่อย เมิ่งอ้ายเยว่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดอีก เพียงยืนนิ่งๆให้เหล่าสาวใช้ช่วยแต่งตัวให้ เมื่อเรียบร้อยดีแล้ว นางจึงรีบมาที่เรือนหลัก เมื่อมาถึงเถียนฮูหยินก็ให้นางมานั่งกินข้าวร่วมโต๊ะอาหารด้วย อาหารบนโต๊ะล้วนเป็นของดีทั้งสิ้น นางถึงกับนึกสงสัยในใจว่าแขกคนนั้นจะต้องเป็นคนสำคัญมากเป็นแน่

อ้อ เพราะมีคนมาที่จวนสินะ จึงให้นางแต่งตัวสวยๆ กินอาหารดีดี เถียนฮูหยินคงกลัวจะถูกคนเอาไปนินทาลับหลังว่าตนเองเสแสร้งแกล้งทำดีกับบุตรบุญธรรมมาโดยตลอด จึงลงทุนลงแรงปานนี้ แต่ช่างเถอะ อย่างน้อยนางก็ยังได้กินอาหารดีดีสักมื้อ

ไม่นานแขกคนสำคัญที่ว่าก็มาถึง แขกที่ว่าคือไป๋จิ่งหยวนและมารดาของเขานั่นเอง ไม่เพียงเท่านั้นสองแม่ลูกยังพาแม่สื่อติดตามมาด้วย เถียนฮูหยินนั้นทำตัวเหมือนมารดาผู้แสนดีที่รักบุตรเท่าเทียมกัน อีกทั้งยังทำดีกับเมิ่งอ้ายเยว่ราวกับบุตรในอุทร มารดาของไป๋จิ่งหยวนที่เห็นอย่างนั้นก็เอ่ยชมไม่ขาดปาก

“เถียนฮูหยินช่างใจกว้างนัก ทั้งที่มิใช่บุตรตนแท้ๆแต่กลับรักใคร่ เห้อ หวังว่าท่านจะไม่ถูกทำให้โมโหจนล้มป่วยเช่นคราวก่อน อย่างว่าแหละนะคนเขาไม่ได้เกิดในครอบครัวสูงศักดิ์มาก่อน พาออกไปที่ใดก็ล้วนก่อแต่เรื่อง”

เถียนฮูหยินเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ออกรับว่าเป็นความผิดของตนเอง เมื่อเรื่องราวเป็นไปในทิศทางเช่นนี้ นั่นยิ่งทำให้ไป๋จิ่งหยวนมองเมิ่งลี่หรูสูงค่าคู่ควรกับเขามากกว่าเดิม แต่กลับมองเมิ่งอ้ายเยว่เหมือนพวกแมลงกาฝากมากยิ่งขึ้น

แต่ช่างเถอะ ใครสนใจกันเล่า ผู้ใดอยากจะมอบสินสอดให้ใคร หรือว่าผู้ใดจะแต่งงานกันนางล้วนไม่เก็บเอามาใส่ใจหรอก ยามนี้นางสนใจเพียงแค่ขนมดอกกุ้ยฮวาที่วางอยู่ตรงหน้าเท่านั้น

ให้ตายเถอะ แป้งขนมนุ่มๆ เอาเข้าปากแล้วละลายทันที มันช่างฟินจนเกินคำบรรยาย

นางจัดการหยิบขนมดอกกุ้ยฮวาเข้าปากอย่างสำราญใจโดยไม่สนใครหน้าไหนทั้งสิ้น ยามนี้เถียนฮูหยินและมารดาของไป๋จิ่งหยวนกำลังพูดคุยกันเรื่องงานหมั้นหมายและฤกษ์งานแต่ง เมิ่งอ้ายเยว่ได้ยินผ่านๆหูว่าฤกษ์งามยามดีที่จะจัดงานแต่งงานนั้น เป็นต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า นับว่านานพอดู แต่เพราะหนุ่มสาวมีความรักใคร่ลึกซึ้งต่อกัน ต่อให้เวลานานเพียงใดก็ยังจะจับมือกันไปจนถึงวันแต่งงาน

จะว่าไปนางก็แอบอิจฉาเมิ่งลี่หรูอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่อิจฉาที่นางได้แต่งกับไป๋จิ่งหยวน แต่อิจฉาที่เมิ่งลี่หรูมีบุรุษที่พร้อมจะรักนางจากใจจริง และยอมนางทุกอย่าง

เห้อ นี่สินะที่เขาเรียกวาสนาของนางเอกนิยาย

ส่วนนางที่เป็นนางร้ายก็ใช้เวรใช้กรรมไปก่อน

เมิ่งอ้ายเยว่กินขนมดอกกุ้ยจนหมดจาน เมื่อกินอิ่มแล้วหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน รู้สึกง่วงจนเผลอสัปปะหงกไปหลายรอบ อาหมี่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง ทำได้เพียงสะกิดเรียกเจ้านายตนเป็นระยะ มารดาของไป๋จิ่งหยวนเหลือบมาเห็นเข้าพอดีก็มองเมิ่งอ้ายเยว่ด้วยสายตาดูแคลนสายหนึ่ง ทุกคนต่างมองนางเป็นส่วนเกินทั้งสิ้น นางจึงขอตัวกลับเรือนและบอกว่าตนรู้สึกไม่ค่อยสบาย

"คุณหนูใหญ่ ท่านไม่รักษากิริยาต่อหน้าคนนอกเช่นนี้ ฮูหยินใหญ่จะตำหนิท่านเอาได้นะเจ้าคะ"

อาหมี่เอ่ยกับเมิ่งอ้ายเยว่ด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีเท่าใดนัก ระยะหลังนางเริ่มตักเตือนเจ้านายมากขึ้น ที่นางทำไปล้วนหวังดีทั้งสิ้น เมิ่งอ้ายเยว่เองก็ไม่โกธร และนางก็ไม่สนใจคนพวกนั้นด้วย ช่างสิ อยากจะด่านางก็เชิญ หรืออยากจะไล่นางออกจากจวนก็ย่อมได้ นางมันสายเลือดสาวออฟฟิศอยู่แล้ว นางออกไปหางานทำเลี้ยงตนเองได้สบายมาก

เมิ่งอ้ายเยว่นั่งอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกเบื่อหน่ายจึงอยากจะออกไปเดินเล่นนอกจวนเสียหน่อย แต่อาหมี่กลับบอกว่านางจะออกจากจวนไม่ได้หากเถียนฮูหยินไม่อนุญาต เมิ่งอ้ายเยว่ถึงกับส่งเสียงเหอะออกมา นางไม่ใช่นักโทษเสียหน่อย จะมากักขังนางเช่นนี้มันถูกต้องแล้วหรือ นางไม่สนใจหรอก!

เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงบอกให้อาหมี่เฝ้าประตูห้องนอนเอาไว้ หากมีคนของเรือนหลักมาก็บอกว่านางไม่สบายต้องการนอนหลับ และไม่อยากให้ใครรบกวน อาหมี่คิดจะห้ามปรามแต่กลับไม่ทันการณ์เสียแล้ว

เมิ่งอ้ายเยว่เดินลัดเลาะมายังด้านหลังเรือนตนเพื่อหาทางออกจากจวน เพราะนางออกทางประตูใหญ่ไม่ได้จึงจำต้องหาทางลัด หญิงสาวมองไปโดยรอบก่อนจะพบเข้ากับช่องลอดสุนัขที่อยู่ด้านหลังจวน เมิ่งอ้ายเยว่ยกยิ้มมุมปากก่อนจะจัดการมุดออกมาจากช่องลอดสุนัขนั่นอย่างรวดเร็ว

เมิ่งอ้ายเยว่เดินไปตามถนนอย่างไม่รีบไม่ร้อน ระหว่างทางมีผู้คนมองนางด้วยแววตาที่ดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง แต่นางไม่ได้สนใจเท่าใดนัก นางรู้ดีว่าที่พวกเขามองนางเช่นนี้เพราะเจ้าของร่างเดิมไปก่อเรื่องเอาไว้ ยามที่เถียนฮูหยินพามาเดินเล่นที่ตลาดหรือไปที่ร้านเครื่องประดับและร้านผ้า นางก็มักจะก่อเรื่องทำร้ายคนอยู่เสมอ นานวันเข้าเถียนฮูหยินจึงไม่ให้นางออกจากจวนอีก เพราะเรื่องพวกนั้นทำให้ชาวบ้านเหล่านี้ยังจำความเลวร้ายที่นางก่อขึ้นได้ไม่ลืม

จะว่าไปตัวนางเองก็มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง นางเป็นคนที่ไม่มีความคิดซับซ้อนในหัวเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว อีกทั้งยังไม่สนใจคำพูดที่ไม่รื่นหู นางสนใจเพียงความสุขในใจของตนเองเท่านั้น ผู้ใดดีมานางก็ดีตอบ ผู้ใดร้ายมานางก็ร้ายกลับ แต่ถ้าให้นางเลือก นางก็อยากอยู่อย่างสงบมากกว่า

เมิ่งอ้ายเยว่รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้ออกมาจากจวน นางในตอนนี้เหมือนกับนกตัวน้อยที่ถูกปล่อยออกมาจากกรงทอง เมื่อได้เห็นสิ่งต่างๆแปลกใหม่ก็สนใจยิ่ง

แต่ทว่านางเดินเล่นอยู่ไม่นานก็เริ่มรู้สึกหมดสนุก เมืองหลวงแห่งนี้กว้างใหญ่แต่กลับไม่มีที่ไหนน่าดึงดูดสักเท่าไหร่ เดิมทีนางเพียงอยากออกมาเดินดูลู่ทาง เผื่อวันไหนตั้งตัวได้จะได้ออกมาหาที่อยู่ด้วยตนเอง

โรงพนันซือหยวน

อยู่ๆสายตาของเมิ่งอ้ายเยว่ก็เหลือบไปเห็นโรงพนันแห่งหนึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกาย นางเบื่อๆอยู่พอดี ไม่สู้เข้าไปสำรวจดูที่นั่นเสียหน่อย

นางมีความสามารถในการเล่นสิ่งพวกนี้อยู่พอตัว  แต่เพราะรู้ว่าเจ้าสิ่งพวกนี้มันไม่ดีเท่าไหร่จึงไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวมากนัก แต่ในเมื่อมาถึงแล้ว เข้าไปดูด้านในเสียหน่อยก็ไม่เสียหาย นางเองก็อยากรู้ว่าโรงพนันในยุคโบราณนี้จะเป็นแบบไหน

เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเดินเข้ามายังโรงพนันซือหยวนอย่างรวดเร็ว ด้านหน้าประตูทางเข้ามีชายร่างใหญ่สองคนยืนเฝ้าอยู่ หน้าตาของเขาดูโหดเหมือนคนเก็บเงินกู้เลย แต่เพราะนางจ่ายเงินให้เขาไปพอสมควร ชายสองคนจึงยอมปล่อยให้นางเข้าไปด้านใน

ภายในโรงพนันซือหยวนค่อนข้างอึกทึกไม่น้อยและยังมีผู้คนเข้ามาไม่ขาดสาย เมื่อพวกเขาเห็นว่านางที่เป็นสตรีเดินเข้ามาด้านในก็มองหน้าตาไม่กระพริบ มีบางคนที่เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ไว้หน้า

"นั่นใช่คุณหนูใหญ่ตระกูลเมิ่งหรือไม่ นี่นางไม่รักดีถึงขนาดหนีออกจากจวนมาเข้าโรงพนันเชียวหรือ"

"นั่นสิ ลมอะไรหอบนางมากัน ได้ยินว่านางถูกกักบริเวณไม่ให้ออกมาด้านนอกเพราะสันดานไม่ดีนี่นา คราก่อนข้าเห็นนางมาเดินตลาดกับน้องสาว นางแต่งกายจืดชืดนัก รสนิยมการแต่งกายช่างทุเรศสิ้นดี ซ้ำยังวางท่าใหญ่โตดูแคลนผู้คนไปเรื่อย อย่างว่าละนะ สายเลือดไพร่ อย่างไรก็คือไพร่อยู่วันยังค่ำ"

"คอยดูเถอะ นางแพ้แน่ หากนางเสียพนันจะต้องเอาเครื่องประดับบนตัวไปขายเพื่อแลกเงินเป็นแน่ บางคราอาจจะขายตัวด้วยซ้ำ ข้าจะรอซื้อเป็นคนแรก ฮ่าๆ ได้ภรรยาเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่คงดีไม่น้อย แม้จะเป็นเพียงบุตรบุธรรม อย่างไรคงมีสมบัติติดตัวอยู่ไม่น้อย!"

วาจาแทะโลมและเหยียดหยามเช่นนี้เมื่อลอยมาเข้าหูแน่นอนว่าย่อมทำให้คนรู้สึกไม่อภิรมย์ เมิ่งอ้ายเยว่ยิ้มเยาะ บุรุษพวกนี้เลี้ยงหมาเอาไว้ในปากเหมือนกับไป๋จิ่งหยวนไม่มีผิดเลย ถึงขนาดนินทาคนในระยะเผาขนโดยไม่สนว่าสตรีน้อยจะอับอายขายหน้าหรือไม่

"แม่นาง ที่นั่งชั้นล่างล้วนเต็มหมดแล้ว แต่ที่นั่งด้านบนยังว่าง แม่นางสนใจหรือไม่?"

เถ้าแก่วัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็นคนดูแลโรงพนันแห่งนี้เดินเข้ามาหานางและเอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร เขาไม่สนใจว่าลูกค้าจะเป็นใคร หรือมีชื่อเสียงฉาวโฉ่เพียงใด ขอเพียงมีเงินเขาล้วนต้อนรับทั้งสิ้น เมิ่งอ้ายเยว่ละสายตาจากพวกปากมากและหันมายิ้มให้เถ้าแก่ แล้วจึงเอ่ยตอบ

“ขอบคุณมาก ข้าไปเล่นชั้นบนก็ได้เจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นแม่นางเชิญตามข้ามา”

เมิ่งอ้ายเยว่พยักหน้ารับแล้วจึงเดินตามเถ้าแก่ผู้นั้นขึ้นไปด้านบน บนชั้นสองแตกต่างจากชั้นล่างราวฟ้ากับเหว ดูเหมือนว่าลูกค้าบนชั้นสองจะมีแต่คนที่มีฐานะร่ำรวย ที่นั่งถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่ได้วุ่นวายเท่าชั้นล่างเลย

"แม่นางเชิญนั่งตรงนี้"

เถ้าแก่ผู้นั้นผายมือเป็นการเชื้อเชิญ และให้ลูกน้องในร้านนำชาชั้นดีและขนมมาบริการนางด้วย เมิ่งอ้ายเยว่เอ่ยขอบคุณแล้วจึงทิ้งกายนั่งลงตรงที่ว่าง

วงพนันยามนี้มีเพียงนางที่เป็นสตรี บุรุษคนอื่นต่างมองนางราวกับมองตัวประหลาด แต่นางหาได้สนใจไม่

เวลาผ่านไปไม่นาน กองเงินทั้งหมดก็มารวมกันอยู่เบื้องหน้านางแต่เพียงผู้เดียว พวกบุรุษที่เคยมองนางด้วยสายตาดูแคลนถึงกับปากอ้าตาค้าง มีคนผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นคุณชายจอมเอาแต่ใจ กำลังจ้องมองนางอย่างไม่พอใจ

"นี่เจ้า! ข้าจำได้แล้ว เจ้าก็คือเมิ่งอ้ายเยว่ บุตรสาวบุญธรรมของตระกูลเมิ่ง เจ้ามาเข้าโรงพนันเช่นนี้บิดาเจ้ารู้หรือไม่ อ้อ เจ้าหนีออกจากจวนมาสินะ?"

ไม่นานคนอื่นๆบนโต๊ะก็รวมหัวกันมาเอ่ยวาจาเสียดสีนาง

"นั่นสิ เจ้าทำตัวไม่สมกับเป็นสตรีเลย เช่นนี้แล้วผู้ใดจะกล้าแต่งเจ้าเข้าจวนกัน สตรีดีดีที่ใดกันมาเข้าโรงพนัน"

เมิ่งอ้ายเยว่ที่กำลังนั่งนับตั๋วเงินตรงหน้าอย่างสบายอารมณ์พลันเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้บุรุษเหล่านั้นคราหนึ่ง

"ข้าเป็นบุตรสาวบ้านไหน จะทำอะไร พ่อแม่จะรู้หรือไม่ จะได้แต่งงานหรือไม่ได้แต่ง แล้วมัันใช่ธุระกงการอะไรของพวกเจ้าไม่ทราบ จะสอดปากมายุ่งทำไมกัน พวกเจ้าเอาแต่ว่าข้า แล้วพวกเจ้าเล่าดีนักหรือ บิดามารดารู้หรือไม่ว่าเอาเงินมาถลุงการพนัน อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว ที่พวกเจ้ามารุมว่าข้า คงเป็นเพราะพ่ายแพ้ให้ข้าจนหมดตัวแล้วสินะ อ่อนชะมัด!"

เหล่าคุณชายหน้าหยกเมื่อถูกเมิ่งอ้ายเยว่พูดตอกหน้ากลับไปก็ถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออก เพราะความอับอายพวกเขาจึงลุกหนีจากไปทันที เมิ่งอ้ายเยว่เบ้ปากคราหนึ่ง แล้วอย่างไรผู้ใดแคร์?

"เจ้าน่าสนใจดีนี่ เป็นสตรีแต่กลับเล่นพนันชนะบุรุษได้ ซ้ำยังเล่นเก่งเสียด้วย เจ้าสนใจรับจ้างสอนเล่นพนันหรือไม่ ข้ากำลังหาผู้เชี่ยวชาญด้านนี้อยู่พอดี วันนี้ข้าเสียไปหลายตำลึงแล้ว"

เมิ่งอ้ายเยว่พลันหันขวับมามอง ก่อนจะต้องตกตะลึงไปทันที

เมื่อครู่นางมัวแต่ตั้งใจเล่นเพราะอยากได้เงินสักก้อนไปเป็นทุน  จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีหนุ่มน้อยหน้าหยกคนหนึ่งนั่งอยู่ด้านข้างตน

ใบหน้าของเขาหล่อเหลาเป็นอย่างมาก ผิวพรรณของเขาขาวจัด ริมฝีปากแดงระเรื่อ ดวงตาก็ทรงเสน่ห์หาใดเปรียบ ทุกอย่างบนใบหน้าของเขาราวกับถูกเสริมสรรค์ปั้นแต่งมาเป็นอย่างดี

“เจ้าคือ?”

“ข้ามีนามว่าอาอี้”

อาอี้หรือ?

เหตุใดตอนนางอ่านนิยายจึงไม่เห็นเจอตัวละครชื่อนี้เลย เอาแล้วสิ ทุกอย่างในตอนนี้มันไม่เหมือนกับในนิยายเลยแม้แต่น้อย เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงพิจารณามองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ

"เจ้าอายุเท่าไหร่หรือ หน้าตายังดูอ่อนวัยเหมือนหนุ่มน้อยอยู่เลย"

ชายหนุ่มตรงหน้าพลันชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มมุมปาก

"ปีนี้ข้าอายุสิบแปดแล้ว"

เมิ่งอ้ายเยว่ถึงกับร้องอุทานในใจ ที่แท้ก็เป็นหนุ่มน้อยเสเพลที่ผลาญเงินพ่อแม่มาเล่นการพนันนี่เอง หญิงสาวมีท่าทีครุ่นคิดเล็กน้อย นางนึกถึงประโยคที่ว่าเด็กๆคือความหวังของชาติ จะให้อบายมุขมามอมเมาเขาไม่ได้ เงินน่ะนางอยากได้ แต่การได้เงินจากการทำลายอนาคตเด็กหนุ่มคนหนึ่ง นางคงไม่อาจเชิดหน้าได้อย่างภาคภูมิใจ

"อ้อ ข้าอายุสิบเก้าปี แก่กว่าเจ้าปีหนึ่งพอดี นี่ น้องชาย อย่าหาว่าพี่สาวสอนเจ้าเลยนะ การพนันเป็นสิ่งไม่ดีหรอก ที่พี่สาวมาเล่นเพราะรู้สึกเบื่อ แต่ครั้งหน้าคงไม่มาแล้ว เอาเป็นว่าเจ้ากลับบ้านไปเถอะ อย่ามาที่นี่อีกเลย เงินน่ะพี่สาวก็อยากได้ เพียงแต่."

“หนึ่งพันตำลึง”

เมิ่งอ้ายเยว่ถึงกับลอบซูดปาก น้องชายหน้าอ่อนผู้นี้เหมือนจะต้องการให้นางสอนให้ได้ มารดามันสิ เงินตั้งหนึ่งพันตำลึงนางจะเอาเช่นไรดี

สอนหรือไม่สอน?

หญิงสาวมีท่าทีครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยตอบ

“เช่นนั้นขอเวลาให้พี่สาวคิดสักสามวันได้หรือไม่น้องชายคนดี”

ชายหนุ่มที่ถูกเมิ่งอ้ายเยว่เรียกว่าน้องชายคนดีพลันยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เขารู้สึกว่าตนเองเหมือนกำลังค้นพบสิ่งที่น่าสนใจ ซึ่งอาจจะทำให้ชีวิตที่แสนน่าเบื่อของเขาไม่จำเจอีกต่อไป

"หากพี่สาวยังตัดสินใจไม่ได้ เช่นนั้นน้องชายจะให้เวลาท่านสามวัน ช่วงบ่ายของวันที่สามข้าจะไปรอคำตอบจากพี่สาวที่โรงน้ำชาหงหลัว หวังว่าพี่สาวจะไม่ผิดนัด นี่คือเงินสามร้อยตำลึงเป็นค่านัดพบกันล่วงหน้า"

ว่าจบเด็กหนุ่มหน้าหยกก็ยัดเยียดเงินสามร้อยตำลึงใส่มือนาง เมิ่งอ้ายเยว่คิดจะปฏิเสธแต่เขากลับบอกว่าให้นางเก็บเอาไว้ นางจึงรับมาอย่างเสียไม่ได้

"ข้ามีนามว่า เมิ่งอ้ายเยว่ ยินดีที่ได้รู้จักนะ"

"อ่อ พี่เมิ่งนี่เอง"

อาอี้มองเมิ่งอ้ายเยว่ด้วยแววตาที่ล้ำลึกคราหนึ่ง

"อีกสามวันข้าจะมาให้คำตอบเจ้า ยามนี้ข้าคงต้องรีบกลับจวนก่อน เจ้าก็รีบกลับจวนด้วยเล่า"

เอ่ยจบนางก็เดินออกไปจากโรงพนันทันที ระหว่างทางมีเด็กๆขอทานมาขอเงิน เมิ่งอ้ายเยว่สงสารนัก จึงมอบเงินและซื้อขนมให้เด็กๆอย่างไม่ตระหนี่ จากนั้นก็นำเงินที่เล่นพนันได้เป็นกอบเป็นกำไปฝากไว้กับร้านแลกเงินแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ร้านแลกเงินแห่งนี้นอกจากจะรับแลกตั๋วเงินแล้ว ยังมีบริการเก็บรักษาตั๋วเงินให้กับลูกค้าอีกด้วย อีกทั้งลูกค้ายังสามารถถอนเงินจากต่างสาขาที่ตั้งอยู่ทั่วแคว้นได้อย่างสะดวกสบาย

ดีชะมัด การบริการถือว่าใช้ได้เลย อารมณ์เดียวกับเราไปฝากถอนเงินต่างสาขาในยุคปัจจุบันอย่างไรอย่างนั้น

เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางก็รีบกลับจวนทันที ระหว่างทางยังแจกขนมให้เด็กๆหลายคนและซื้อของอร่อยไปฝากอาหมี่อีกด้วย

อีกด้านหนึ่งบนชั้นสอง หนุ่มน้อยหน้าหยกยังคงไม่ได้จากไปไหน เขายกถ้วยชาขึ้นดื่ม พร้อมกับมองไปยังเมิ่งอ้ายเยว่ที่กำลังหยอกเล่นกับเด็กขอทานอย่างไม่ถือตัว ซ้ำยังแจกเงินให้อย่างไม่ตระหนี่อีกด้วย

แซ่เมิ่งอย่างนั้นหรือ?

ช่างบังเอิญนัก เขากำลังคิดไม่ตกกับแผนการในหัวอยู่พอดี แต่สวรรค์กลับส่งปลาตัวหนึ่งมาติดเบ็ดของเขาเสียได้

เยี่ยมยอดจริงๆ!

“ฝ่าบาท เล่นสนุกเกินงามเช่นนี้จะดีหรือพ่ะย่ะค่ะ ให้นางมาสอนพระองค์เล่นการพนันมันไม่เหมาะเลย ไหนบอกว่าเพียงอยากมาดูความเป็นไปของผู้คน เหตุใดจึงมาจบลงที่การนัดพบกับสตรีนางนั้นเล่า บ่าวได้ยินมาว่าชื่อเสียงของนางไม่ใคร่จะดีนัก นางเป็นบุตรสาวบุญธรรมของใต้เท้าเมิ่ง ผู้คนต่างไม่ชอบหน้านาง เพราะนางมีใจละโมบ ริษยา มักใหญ่ใฝ่สูง อีกทั้งบิดาของนางก็ไม่ได้มีใจภักดีต่อฝ่าบาท ฝ่าบาทต้องทรงระมัดระวังให้มากนะพ่ะย่ะค่ะ สตรดีดีที่ไหนกันจะมาเข้าโรงพนันเช่นนี้ ทางที่ดีอย่าได้เอาพระวรกายที่ล้ำค่าดั่งทองคำมาเกลือกกลั้วกับนางเลยพ่ะย่ะค่ะ คิดแผนการใหม่เถอะ"

ฟ่านกงกงที่ติดตามมาด้วยพูดเตือนจนปากเปียกปากแฉะ แต่ดูเหมือนคนที่นั่งอยู่จะฟังเข้าหูซ้ายแล้วทะลุออกหูขวาไปเสียอย่างนั้น

เขาคือฮ่องเต้แคว้นเยี่ย ฮ่องเต้น้อยที่ีมีอายุเพียงสิบแปดปีนามว่าซือหม่าอี้เฉิน หลังจากเสด็จพ่อทรงสิ้นพระชนม์จากไป เขาก็ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่อายุสิบหก เหล่าขุนนางต่างบอกว่าเขามันเป็นฮ่องเต้ใจดำอำมหิต เป็นทรราช ผู้ใดทำให้ไม่พอใจก็สังหารทิ้งไม่เลือกหน้า อีกทั้งยังระแวงว่าเหล่าขุนนางจะแย่งชิงอำนาจไปจากตน แล้วยังไม่เห็นหัวผู้ใด ทำตามใจตนจนติดเป็นนิสัย ชื่อเสียงของเขาไม่ใคร่จะดีนัก

ซือหม่าอี้เฉินหยิบลูกเต๋าในมือขึ้นมาโยนเล่นอย่างไม่ใส่ใจ แล้วจึงหันมาเอ่ยกับฟ่านกงกง

"เจ้าว่านางนิสัยไม่ดี แต่เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าก็นิสัยไม่ดีเช่นเดียวกัน ให้ตายเถอะ ข้ากับนางช่างเหมาะกับประโยคที่ว่าหญิงโฉดชายชั่วยิ่งนัก ฟ่านกงกงเจ้าว่าการที่ข้าและนางได้พบกันเช่นนี้ เป็นเพราะ นรกลิขิตใช่หรือไม่ ฮ่าๆ ไหนเจ้าลองเรียกข้าว่า ไอ้เจ้าคนชั่วที่มาจากนรกดูสิ เร็วๆ ข้ารอฟังอยู่ ตื่นเต้นเหลือเกิน!"

ฟ่านกงกง "......"

โปรดประหารกระหม่อมเถิด ตั้งแต่รับใช้ข้างกายพระองค์มา ผมกระหม่อมก็ขาวไปทั้งหัวแล้ว อีกไม่นานคงร่วงจนล้านแล้วพ่ะย่ะค่ะ!

บทก่อนหน้า
บทถัดไป