บทที่ 6 บทที่ 6 ได้รางวัล
ท้ายที่สุดซือหม่าอี้เฉินก็ลากตัวเมิ่งอ้ายเยว่ให้ตามเขามาที่หอนางโลมจนได้
หอนางโลมแห่งนี้นี้มีชื่อว่า หอโคมแดงฮวาโหลว เมิ่งอ้ายเยว่เมื่อได้มาเห็นหอนางโลมของจริงตรงหน้าก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก หอโคมแดงฮวาโหลแห่งนี้เป็นตึกไม้สองชั้น ทั้งชั้นบนชั้นล่างล้วนประดับโคมไฟสีแดงหรูหรา มีม่านผ้าไหมชั้นดีประดับตกแต่งหน้าต่างทุกบาน ชั้นล่างเป็นที่ต้อนรับแขกเหรื่ื่อ มีเวทีดนตรีและการแสดง ส่วนชั้นบนจะเป็นห้องพักนางโลมและห้องจัดเลี้ยงส่วนตัว
เมื่อมาถึงหน้าประตูหอโคมแดงฮวาโหลวก็มีมามาออกมาต้อนรับอย่างกระตือลือล้น อีกทั้งยังมองเมิ่งอ้ายเยว่และซือหม่าอี้เฉินอย่างสนอกสนใจ ซือหม่าอี้เฉินหันมาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เมิ่งอ้ายเยว่ จนนางรู้สึกขนลุกขึ้นมาอีกหน แต่ทว่าประโยคต่อมาของเขากลับทำนางเข่าแทบทรุด
"พี่สาว วันนี้ท่านต้องไถ่โทษด้วยการตามใจข้า ในเมื่อท่านพูดเองว่าให้ข้าเลือกไปที่ใดก็ได้ตามที่ข้าชอบ บังเอิญว่าข้าชอบที่นี่ อีกทั้งข้ายังอยากได้ห้องจัดเลี้ยงอย่างหรูหรา และนางรำมาร่ายรำให้ชมด้วย หวังว่าพี่สาวจะไม่ขัดใจข้า"
เมิ่งอ้ายเยว่ถึงกับเหงื่อตก เมื่อสอบถามมามาถึงราคาห้องจัดเลี้ยงและนางรำชั้นดีอย่างละเอียดนางก็ถึงกับซวนเซเล็กน้อย แต่นางจะผิดคำพูดไม่ได้เด็ดขาด
ซือหม่าอี้เฉินอารมณ์ดียิ่งนัก เขาดื่มกินอย่างสำราญใจ ฟ่านกงกงถึงกับทอดถอนใจครั้งแล้วครั้งเล่า ฝ่าบาทยามนี้เหมือนเด็กหนุ่มเสเพลที่ชมชอบความสำราญไม่สิ้นสุด ยิ่งเจอสหายถูกใจยิ่งติดลมจนกู่ไม่กลับ
เมิ่งอ้ายเยว่ดื่มสุราไปหลายจอกแต่กลับไม่รู้สึกเมาเลยแม้แต่น้อย ตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน ที่บริษัทของนางจะจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ปีใหม่อยู่เสมอ นางเคยได้ฉายาว่า เทพแห่งการดื่ม เพราะดื่มเท่าใดก็ไม่เมาง่ายๆ เพราะฉนั้นสุราเพียงไม่กี่จอกย่อมทำอันใดนางไม่ได้อยู่แล้ว
ซือหม่าอี้เฉินที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ่งถูกใจในตัวสตรีตรงหน้าเข้าไปใหญ่ นางช่างเป็นคนที่น่าสนใจโดยแท้
ด้านเมิ่งอ้ายเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยปรามซือหม่าอี้เฉิน อย่างไรเสียการดื่มสุราในวัยหนุ่มก็เป็นเรื่องปกติ ขอเพียงให้อยู่ในขอบเขตและไม่เมามายจนขาดสติเป็นพอ
ทั้งสองคนกินดื่มกันจนเวลาล่วงเลยมาถึงยามเย็น เมิ่งอ้ายเยว่มัวแต่เพลิดเพลินจนลืมเวลากลับจวน เมื่อได้สติก็เริ่มลนลาน ไม่รู้ว่ายามนี้อาหมี่จะออกหน้ารับแทนนางเช่นไร นางควรต้องรีบกลับจวนได้แล้ว หากถูกเถียนฮูหยินจับได้ เกรงว่าเรื่องราวคงจะยุ่งยากมากกว่านี้
"น้องชาย หวังว่าต่อไปเจ้าจะตั้งใจเล่าเรียน ใช้ชีวิตให้ดี เป็นคนดีของบิดามารดา และอย่าทำตัวเสเพลอีก หาสตรีดีดีสักคนแล้วแต่งงานซะ จะได้รู้รสชาติของการเป็นผู้ใหญ่เสียที ยามนี้ข้าต้องกลับจวนแล้ว ขืนชักช้ากว่านี้อาจจะโดนด่าจนหูชาได้"
ซือหม่าอี้เฉินยกยิ้มมุมปาก สตรีใจกล้านางนี้ถึงกับสั่งสอนเขาไม่เลิกไม่รา ซ้ำยังยุยงให้เขาแต่งภรรยาอีกด้วย
"พี่สาวกลับดีดีเล่า"
“อืม”
เอ่ยจบนางก็ตั้งท่าจะเดินจากไป แต่ทว่าอยู่ๆกลับได้ยินเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของสตรีนางหนึ่งเข้าเสียก่อน เมื่อเมิ่งอ้ายเยว่หันไปมองก็พบว่าที่หน้าโรงหมอไม่ไกลจากที่นางยืนอยู่มากนัก มีสตรีนางหนึ่งกำลังอุ้มบุตรชายวัยสามขวบพาดเอาไว้บนบ่า และร้องไห้ออกมาเสียงดัง จนผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอดเวทนาไม่ได้
"ท่านหมอ โปรดช่วยลูกข้าด้วยเถิด ฮือ ตอนนี้ข้าไม่มีเงินติดตัวเลยเจ้าค่ะ แต่ลูกข้ามีไข้สูงมาก อาการของเขาไม่ดีขึ้นเลย หากท่านไม่ช่วยเหลือเห็นทีเขาคงต้องป่วยตายเป็นแน่ ฮือ ท่านหมอโปรดเมตตาพวกเราด้วยเถิด!"
"ไสหัวไป ที่นี่คือโรงหมอไม่ใช่โรงทาน ไม่มีเงินก็กลับไปตายที่บ้านซะ!"
ซืิอหม่าอี้เฉินเมื่อได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็ฉายแววเย็นเยียบ การที่เขาปลอมตัวมาใช้ชีวิตปะปนกับชาวบ้านเช่นนี้ไม่ใช่เพราะอยากเที่ยวสนุกเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะต้องการมาดูความเป็นไปของราษฎรด้วยตาของตนเอง ชาวบ้านตัวเล็กๆเหล่านี้ย่อมไม่เคยเห็นหน้าเขา จึงไม่ได้ให้ความสนใจเขาเท่าใดนัก
ในขณะที่ซือหม่าอี้เฉินกำลังจะหันไปสั่งให้ฟ่านกงกงไปช่วยเหลือสองแม่ลูกคู่นั้น เมิ่งอ้ายเยว่กลับมุ่งตรงเข้าไปช่วยเหลือคนก่อนแล้ว
"แม่นาง ท่านใจเย็นๆก่อน บุตรของท่านยังได้สติอยู่ เขาจะต้องไม่ตายง่ายๆแน่"
สตรีนางนั้นหันมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นเมิ่งอ้ายเยว่ก็ลนลานขึ้นมาทันที
"คุณหนูใหญ่เมิ่ง ท่านอย่ารังแกข้าเลยนะเจ้าคะ คราก่อนที่ข้าเอ่ยวาจาเสียดสีท่าน ข้าผิดไปแล้ว ยามนี้บุตรชายข้าป่วย ท่านโปรดละเว้นพวกเราสองแม่ลูกด้วยเถอะ!"
เมิ่งอ้ายเยว่ชะงักไปในทันที นางพอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ในเวลาอันรวดเร็ว เมิ่งอ้ายเยว่คนเก่านิสัยไม่ดีและชอบมีเรื่องไปทั่วยามออกจากจวน ไม่แปลกที่คนเหล่านี้จะหวาดกลัวนาง
"แม่นางเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้มารังแกท่าน แต่ข้าจะช่วยออกค่ารักษาให้บุตรชายของท่านเจ้าค่ะ เงินนี่ท่านไม่ต้องใช้คืนให้้ข้า ข้ายินดีช่วยเหลือท่าน และไม่นับว่าเป็นบุญคุณอะไร หวังว่าแม่นางจะไม่ขัดข้อง"
สตรีนางนั้นมองเมิ่งอ้ายเยว่อย่างลังเล แต่เมื่อคิดถึงบุตรชายที่ป่วยหนักขึ้นมานางก็คิดว่าคงไม่มีหนทางอื่นแล้ว ยามนี้เมิ่งอ้ายเยว่เปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยรักษาชีวิตของบุตรชายนางเอาไว้ได้ แม้สุดท้ายเมิ่งอ้ายเยว่จะกลับมารังแกนางอีก นางก็ยินดี ขอเพียงบุตรชายอยู่รอดปลอดภัยก็พอ
"ที่บอกว่าจะช่วยบุตรชายข้า ท่านพูดจริงหรือ?"
"เจ้าค่ะ ท่านรีบพาบุตรชายกลับเข้าไปที่โรงหมอก่อนเถอะ ข้าจะออกค่ารักษาให้เอง"
"ช้าก่อน!"
เมิ่งอ้ายเยว่ที่กำลังจะช่วยอุ้มเด็กน้อยเข้าไปในโรงหมอพลันชะงัก แล้วจึงหันมามอง เมื่อพบว่าเป็นซือหม่าอี้เฉินนางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เจ้ายังไม่กลับจวนอีกหรือ? ข้าคิดว่าเจ้ากลับไปแล้วเสียอีก”
"พาพวกนางไปที่โรงหมออีกฝั่งหนึ่งเถอะ ที่นั่นท่านหมอใจดีและมีเมตตากว่าโรงหมอแห่งนี้มากนัก ข้าจะพาพวกเจ้าไปเอง"
ซือหม่าอี้เฉินเอ่ยจบก็รีบนำทางพวกนางไปทันที เมิ่งอ้ายเยว่เมื่อได้ยินอย่างนั้นจึงรีบพาสองแม่ลูกตามไปยังโรงหมอที่เขาบอกอย่างรวดเร็ว
เมื่อมาถึงเด็กน้อยก็ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ท่านหมอใจดีมากจริงๆ อีกทั้งยังดูจะคุ้นเคยกับซือหม่าอี้เฉินเป็นอย่างดี ท่าทีที่เขามีต่อซือหม่าอี้เฉินนั้นทั้งเกรงใจและเคารพนบนอบจนเมิ่งอ้ายเยว่อดแปลกใจไม่ได้ เจ้าเด็กลิงนี้เห็นเสเพลไม่เอาไหนแต่ก็มีคอนเนคชั่นดีเยี่ยมเหมือนกันนะเนี่ย
เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยอาการดีขึ้นมากแล้ว เมิ่งอ้ายเยว่ก็พลอยดีใจไปกับมารดาของเด็กผู้นั้นด้วย สตรีนางนั้นหันมาเอ่ยขอบคุณนางและซือหม่าอี้เฉิน อีกทั้งยังขอโทษเมิ่งอ้ายเยว่อย่างรู้สึกผิดที่เคยลอบนินทานาง แต่เมิ่งอ้ายเยว่กลับไม่ได้ติดใจเอาความเลยแม้แต่น้อย
"แม่นาง เจ้ารับเงินนี่ไปนะ ส่วนค่ารักษาข้าจะรับผิดชอบเอง ข้าบอกท่านหมอเอาแล้ว หากพวกท่านมาอีกก็ให้รักษาอย่างเต็มที่ แล้วให้ส่งคนไปแจ้งข้าที่ตระกูลเมิ่ง ท่านไม่ต้องกังวล ดูแลบุตรชายให้ดีดีเล่า"
"ขอบคุณท่านมาก บุญคุณนี้ข้าจะไม่มีวันลืมเลย"
"บุญคุณอันใดกันช่างมันเถอะ ชีวิตลูกชายของท่านย่อมสำคัญกว่า"
สตรีนางนั้นยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะบอกลาและอุ้มบุตรชายที่อาการดีขึ้นมากแล้วกลับบ้านของตนไป เมิ่งอ้ายเยว่มองส่งสองแม่ลูกไปจนลับสายตา ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาบางคนก็เอ่ยชมนาง บางคนก็บอกว่านางแสร้งทำตัวเป็นคนดีเพื่ออยากเทียบรัศมีเมิ่งลี่หรู แต่เมิ่งอ้ายเยว่กลับไม่ได้สนใจคำพูดเหล่านั้น นางช่วยคนเพราะอยากช่วยจริงๆ ไม่ได้หวังเอาหน้าเลยแม้แต่น้อย
เมื่อคนจากไปแล้ว นางจึงล้วงหยิบถุงเงินออกมาเปิดดู เมื่อเห็นว่าเงินในถุงเหลือเพียงไม่กี่อีแปะนางก็ทอดถอนใจหนหนึ่ง ด้านซือหม่าอี้เฉินที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถามหยั่งเชิง
"ทำไม พี่สาวช่วยคนแล้วนึกเสียดายภายหลังหรือ?"
เมิ่งอ้ายเยว่เมื่อได้ยินจึงหันมามองเขาทันที
"ใช่ที่ไหนกัน ข้าเพียงคิดว่าวันนี้นำเงินมาน้อยเกินไป หากมีเงินมากกว่านี้ข้าจะมอบให้สองแม่ลูกนั่นเพิ่มอีกสักหน่อย แต่ตอนนี้ข้าไม่มีเงินแล้ว คงต้องเริ่มต้นหาเงินมาเพิ่มอีกสักหน่อย"
"จะไปหาจากที่ใด?"
"ไม่รู้สิ ยังคิดไม่ออก ไว้ข้ากลับไปนอนหลับสักงีบ ตื่นมาเดี๋ยวก็คงคิดออกเอง"
ซือหม่าอี้เฉินเลิกคิ้วข้างหนึ่ง แล้วเอ่ยถามนางอย่างสนใจ
“พี่สาวชอบนอนขนาดนั้นเลยหรือ?”
"ก็ใช่น่ะสิ หากคุณภาพการนอนดี แน่นอนว่าสมองก็จะดีตามไปด้วย อ้อ ข้ายังชอบกินด้วยนะ”
เอ่ยจบนางก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วหันมาเอ่ยกับซือหม่าอี้เฉินอีกหน
“นี่ก็ค่ำมืดแล้ว ข้าต้องกลับจวนก่อนล่ะ ไปละนะ"
เอ่ยจบนางก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว ซือหม่าอี้เฉินมองตามนางไปจนลับสายตา ความรู้สึกซับซ้อนพลันปรากฏขึ้นในดวงตาคมกล้าของเขา
“ตาแก่ฟ่าน ส่งคนไปสืบเรื่องของสตรีนางนั้นมาอย่างละเอียด”
ฟ่านกงกงพยักหน้ารับคำ แล้วจึงเอ่ยเตือนเจ้านายตนหนหนึ่ง
"ฝ่าบาท รีบกลับวังหลวงเถอะพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งมืดยิ่งอันตราย"
ซือหม่าอี้เฉินเพียงพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อได้ยินฟ่านกงกงบอกว่ายิ่งมืดยิ่งอันตราย ชายหนุ่มก็แค่นเสียงหึขึ้นจมูกอย่างเยาะหยัน
ยิ่งมืด พวกหมาป่ากากเดนก็ยิ่งจ้องจะตะครุบเขาสินะ?
ชายหนุ่มมองไปโดยรอบด้วยแววตาเย็นชา เขาก้าวเดินไปข้างหน้าได้เพียงสองก้าว ก็หันมาเอ่ยกับฟ่านกงกงอีกรอบ
"คืนนี้เจ้าจงส่งคนมาเผาโรงหมอนี่ซะ ในเมื่อโลภมาก เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา เช่นนั้นก็อย่าเปิดรักษาคนอีกต่อไปเลย!"
ฟ่านกงกงพยักหน้ารับคำ และกลางดึกคืนนั้นโรงหมอที่ว่าก็มอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน แม้แต่ท่านหมอยังไม่อาจรอดชีวิตออกมาได้ เรื่องนี้กลายเป็นที่โจษจันท์ไปทั่วทั้งเมืองหลวงในเวลาอันรวดเร็ว
ด้านเมิ่งอ้ายเยว่นั้นเมื่อกลับมาถึงจวนก็รีบตรงมาที่เรือนทันที เมื่อมาถึงก็พบว่าอาหมี่นั่งรอนางอย่างกระวนกระวายเหมือนเช่นทุกครั้ง อีกทั้งยังบอกนางว่าโชคดีที่วันนี้คนตระกูลไป๋มาส่งสินสอดพอดี เถียนฮูหยินจึงมัวแต่วุ่นวายอยู่กับการตรวจนับสินสอดไม่ได้มีเวลามาจับตาดูนางที่เรือน เมิ่งอ้ายเยว่ลอบพรูลมหายใจออกมาหนหนึ่งอย่างโล่งใจ วันนี้นางเอาแต่เที่ยวเล่นกับอาอี้จนกลับบ้านเลยเวลาไปมาก ต่อไปจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกแล้ว อาหมี่รีบเข้ามาช่วยเจ้านายผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ก่อนที่เด็กสาวจะย่นหว่างคิ้วหนหนึ่ง
“คุณหนูใหญ่ ท่านดื่มสุรามาหรือเจ้าคะ”
“นิดหน่อยน่า ห้ามบ่น ข้าหิวแล้ว กินอิ่มแล้วจะได้ไปนอนเสียที”
เมิ่งอ้ายเยว่เอ่ยปรามอาหมี่ และรีบไปกินอาหารที่ตนซื้อมาอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะคลานขึ้นเตียงไปนอนอย่างสุขใจ
ยามเช้าของวันต่อมา ในขณะที่นางกำลังนอนหลับฝันหวานอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของอาหมี่เอ่ยเรียกนางอย่างลนลานจนนางนอนต่อไม่ได้
"คุณหนู รีบตื่นเร็วเข้าเจ้าค่ะ!"
เมิ่งอ้ายเยว่สลืมสะลือรีบลุกขึ้นมานั่งอย่างงัวเงียพลางหาวออกมาไม่หยุด
“มีอันใดอีกเล่าอาหมี่ นี่ยังเช้าอยู่เลย เถียนฮูหยินคงยังไม่ตื่นหรอกกระมัง เจ้าจะปลุกข้าขึ้นมาทำไมแต่เช้ากัน หรือว่าเถียนฮูหยินตื่นแล้วและส่งคนมาเรียกข้าไปด่า?"
อาหมี่วิ่งเข้ามานั่งลงข้างเตียงด้วยท่าทีเหนื่อยหอบ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆหลายครั้ง
"ไม่ใช่เถียนฮูหยินเจ้าค่ะ เอ่อ แต่ว่าเป็นคนจากในวัง ยามนี้ที่ลานด้านหน้าเรือนหลัก มีขันทีจากในวังหลวงมาที่จวนของพวกเรา และยังบอกอีกว่าให้คุณหนูรีบออกไปรับของรางวัลพระราชทานเจ้าค่ะ”
เมิ่งอ้ายเยว่ถึงกับเหม่อไปทันที
ฮ่องเต้หรือ? ฮ่องเต้ทรราชน่ะเหรอ!
นางจำได้ว่าตนไม่เคยเจอหน้าฮ่องเต้ทรราชผู้นั้นมาก่อนเลย แล้วเขาจะมาพระราชทานรางวัลให้นางทำไมกัน?
อาหมี่ที่เห็นว่าเมิ่งอ้ายเยว่ยังไม่ยอมขยับเขยื้อนลงจากเตียงเสียที จึงตัดสินใจลากเจ้านายตนมาล้างหน้าล้างตาและแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เมิ่งอ้ายเยว่ที่ถูกอาหมี่จับทำนั่นแต่งนี่ก็ถึงกับตาสว่าง นางรีบตั้งสติและมาที่ลานด้านหน้าเรือนหลักในทันที เมื่อมาถึงก็พบว่าทุกคนในจวนกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ นางจึงรีบเดินเข้าไปคุกเข่าตามพวกเขา
ขันทีน้อยที่เห็นนางก็รีบถามทันทีว่านางใช่คุณหนูใหญ่เมิ่งหรือไม่ เมื่อนางตอบว่าใช่ขันทีก็ยิ้มให้นางอย่างเป็นมิตร แล้วจึงประกาศราชโองการทันที เนื้อหาในราชโองการบอกว่านางทำความดีช่วยคนตกยากลำบาก ฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องนี้รู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาไหล จึงพระราชทานรางวัลให้นางเป็นอาหารเลิศรสสามโต๊ะใหญ่ และเตียงนอนชั้นดีอีกหนึ่งหลัง ผ้าไหมแพรพรรณและเครื่องประดับราคาแพงอย่างละสามหีบ เป็นอันจบราชโองการ
อาหารเลิศรสสามโต๊ะใหญ่ เตียงนอนหนึ่งหลัง?
นี่มันอะไรกันครับเนี่ย!
เมิ่งอ้ายเยว่รับราชโองการมาอย่างมึนงง ขันทีผู้นั้นเมื่อทำงานแล้วเสร็จก็สะบัดแส้เดินจากไปซ้ำยังไม่รับเงินค่าเหนื่อยสักอีแปะ และยังสั่งให้คนขนเตียงชั้นดีไปวางเอาไว้ในห้องนอนของนางด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ยังรื้อเตียงเก่าๆของนางออกไปโยนทิ้งให้อย่างมีน้ำใจ
เมิ่งอ้ายเยว่ยังคงมึนงงไม่หาย นางแค่ช่วยสตรีนางนั้นเมื่อวาน แต่ข่าวกลับไปถึงฮ่องเต้รวดเร็วราวกับเขามีตาทิพย์เสียอย่างนั้น
“เมิ่งอ้ายเยว่ นี่มันหมายความเช่นไร เจ้าแอบหนีออกไปเที่ยวเล่นนอกจวน แล้วไปพบกับฝ่าบาทเข้าอย่างนั้นหรือ?”
เถียนฮูหยินเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ นังเด็กคนนี้ นางสั่งห้ามนักหนาว่าไม่ให้ออกจวน เกิดไปรับไออัปมงคลที่ด้านนอกเข้ามา บุตรสาวบุตรชายของนางจะไม่แย่เอาหรือ!
เมิ่งอ้ายเยว่ถึงกับลอบไว้อาลัยให้ตนเอง ฮ่องเต้ทรราชทำนางโป๊ะแตกเสียแล้ว ในเมื่อปิดไม่อยู่ ก็ยอมรับไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
“ข้าเพียงนึกสนุกเลยปีนกำแพงออกไปเที่ยวเล่นเจ้าค่ะ ข้าเพียงไปช่วยคนโดยบังเอิญเท่านั้น และข้าไม่ได้เจอฮ่องเต้ด้วยซ้ำ ยังแปลกใจอยู่เช่นกันว่าทรงรู้ได้เช่นไร”
นางไม่มีทางบอกเถียนฮูหยินเด็ดขาดว่านางมุดช่องลอดสุนัขออกไป!
เถียนฮูหยินส่งเสียงเหอะออกมาทันที
“ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ว่าเจ้าจะออกไปนอกจวนได้ต้องมีข้าไปด้วยเท่านั้น และยังต้องสวมกำไลลูกประคำเอาไว้ยามออกจากจวนเพื่อป้องกันสิ่งอัปมงคลตามกลับจวนมา แต่เจ้ากลับขัดคำสั่งข้า วันนี้ข้าควรโบยเจ้าเพื่อเป็นสั่งสอนดีหรือไม่!”
เมิ่งอ้ายเยว่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาทันที
บ้าบอสิ้นดี จะออกจวนทั้งทียังต้องให้สวมกำไลลูกประคำ เถียนฮูหยินเชื่อเรื่องการทำนายทายทักจนสติเลอะเลือนไปแล้วหรือไร!
“ท่านแม่ ข้าไม่ใช่นักโทษที่จะต้องถูกท่านกักขังไปชั่วชีวิต ท่านทำเช่นนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรือ เช่นนั้นข้าขอถามท่าน ท่านทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร หากชังน้ำหน้าข้านัก กลัวว่าข้าจะเอาภัยพิบัติมาให้ เหตุใดท่านไม่ไล่ข้าออกจากจวนไปเสียเลยเล่า เก็บข้าเอาไว้ทำไมกัน ข้าว่าท่านนั่นล่ะ ที่เริ่มเลอะเลือนเข้าไปทุกวัน!”
“หุบปาก เจ้าไม่มีสิทธิ์มาต่อว่าข้า ชีวิตเจ้าเป็นของข้า ข้ารับเจ้ามาเลี้ยงดู ให้เจ้าเชิดหน้าเป็นคุณหนูใหญ่ เจ้าไม่สำนึกบุญคุณก็ช่างเถอะ แต่กลับมาต่อว่าข้าอีก ช่างอกตัญญูสิ้นดี!”
“เหอะ ท่านแม่ แล้วท่านคู่ควรให้ข้ากตัญญูหรือไม่เล่า ข้ารู้ว่าที่ผ่านมาข้าทำตัวไม่ดี แต่ข้าก็พยายามปรับปรุงตัวแล้ว ท่านเล่า ลองมองตนเองบ้าง ภายนอกท่านแสร้งทำเป็นคนดีมีคุณธรรม แต่แท้จริงใจนิสัยของท่านทั้งเผด็จการและบ้าอำนาจยิ่งกว่าใคร ข้าไม่ใช่บุตรที่ท่านคลอดมาก็จริง แต่หลายสิบปีที่ท่านเลี้ยงดูข้ามา ท่านไม่มีความสงสารเมตตาบ้างเลยหรือ หากท่านรักข้าจริง ต่อให้ข้าเลวร้ายปานใดท่านควรจะสั่งสอนข้าด้วยความเมตตาสงสาร มิใช่ทำราวกับข้าเป็นนักโทษในจวนท่านเช่นนี้!”
เถียนฮูหยินถูกคำพูดของเมิ่งอ้ายเยว่ทำให้ชะงักไป ความรู้สึกเมตตาเอ็นดูที่มีต่อเด็กสาวตรงหน้านางจำไม่ได้นานแล้ว คล้ายว่ามันจะเลือนรางไปตามกาลเวลาเสียด้วยซ้ำ
"เจ้าไม่ฟังคำสั่ง ข้าย่อมต้องลงโทษ ของรางวัลในหีบพวกนี้ ข้าจะเก็บเอาไว้ก่อน รอเจ้าทำตัวดีเมื่อไหร่ข้าค่อยมอบคืนให้เจ้า และจะส่งคนไปจับตาดูเจ้าไม่ให้คลาดสายตา เด็กๆ ขนของรางวัลเหล่านี้ไปเก็บไว้ในห้องเก็บสมบัติของข้า"
อ้ายเยว่เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับกำมือแน่น
"ท่านแม่ ของพวกนี้เป็นของที่ฝ่าบาททรงพระราชทานให้ข้า ท่านไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนี้"
เถียนฮูหยินปรายตามองเมิ่งอ้ายเยว่หนหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยตอบ
"ข้าเป็นมารดาเจ้า ช่วยดูแลของพวกนี้แทนบุตรสาว ย่อมไม่ใช่เรื่องผิดอันใด ส่วนเจ้าก็สำราญใจกับอาหารตรงหน้าไปเถอะ หากไม่มีสิ่งใดก็อย่าได้มารบกวนข้า"
เอ่ยจบเถียนฮูหยินก็เดินกลับเข้าเรือนตนไปทันที เมิ่งอ้ายเยว่ทอดถอนใจอย่างเบื่อหน่าย เถียนฮูหยินปากบอกว่าจะช่วยดูแลของให้ แต่มีหรือที่นางจะไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นคิดจะฮุบของๆนาง
เมิ่งอ้ายเยว่มีท่าทีครุ่นคิด ก่อนจะเดินตรงไปยังหีบของรางวัล แล้วจัดการเปิดมันออก จากนั้นก็หยิบผ้าไหมแพรพรรณออกมาหลายสิบพับ อีกทั้งยังเอาเครื่องประดับราคาแพงมาอีกหนึ่งหีบ และบอกให้อาหมี่ขนกลับเรือน เถียนฮูหยินถึงกับหน้าตึงขึ้นมาทันที นางออกคำสั่งให้สาวใช้ไปแย่งของคืน แต่สาวใช้เหล่านั้นกลับถูกเมิ่งเยว่ตบหน้าจนร้องไห้โฮและไม่กล้าเขามาแย่งของของนางอีก
ยามคับขัน นางก็มีวิธีป้องกันตนเองเสมอ สิ่งใดควรยอมนางก็ยอม สิ่งใดไม่ควรยอมนางเองก็ไม่คิดจะอ่อนข้อเช่นเดียวกัน
“นี่เจ้าจะทำตัวเป็นกบฏกับข้าหรือ!”
“เจ้าค่ะ ในเมื่อท่านแม่อยากได้ของๆข้า ข้าก็จะให้ แต่ให้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ใครมันกล้ามาแย่งของๆข้าอีก ก็อย่าหาว่าข้าแล้งน้ำใจ!”
เมิ่งอ้ายเยว่ไม่สนใจเถียนฮูหยินอีก นางรีบเดินกลับเรือนตนไปทันที ส่วนเถียนฮูหยินก็กำมือแน่น
ช่างเถอะ วันคืนยังอีกยาวนาน นางค่อยหาทางเอาของพวกนั้นกลับคืนมาก็ยังไม่สาย เพราะอย่างไรเสียชั่วชีวิตนี้เมิ่งอ้ายเยว่ก็ไม่มีทางได้ใช้มันอยู่แล้ว!
