บทที่ 6 EP 02 สารภาพยังไงให้โทษไม่ลด [1]

ผมก้าวเท้าเข้ามาในลิฟต์แล้วเอื้อมมือไปกดปุ่มที่ชั้นสิบสาม ยืนรอเวลาอย่างใจเย็นพลางหยิบเอกสารแจ้งผลการสอบในกระเป๋ากางเกงออกมา ก็แปลกดีที่ผมรู้สึกว่ามือไม้เย็นเฉียบไปหมด ทุกอย่างเหมือนกำลังเลื่อนขึ้นมาจุกอยู่ที่ลิ้นปี่

ติ๊ง!

แล้วเสียงสัญญาณลิฟต์ก็ทำให้ผมสะดุ้งตกใจ ทั้งที่มันก็ดังเป็นเรื่องปกติ ว้อยยย ผมอยากจะบ้าตายจริงๆ

ตึกๆ ๆ

ผมก้าวเท้าออกมาจากลิฟต์แล้วตรงไปยังห้องพักของตัวเอง กดรหัสของผมเพื่อเปิดประตู ผลักประตูห้องเข้าไปช้าๆ ซึ่งสิ่งแรกที่ผมเห็นตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้าไปก็คือรองเท้าคัทชูเบอร์สี่สิบ หนังแก้วมันวาวสะท้อนแสงไฟในห้องเข้าตาผม

“กลับมาแล้วเหรอครับคุณเลโก้” คุณลามิน ผู้ช่วยคนสนิทของพี่อาทิตย์ทักทายผมด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นกันเอง ก่อนที่เขาจะเดินมาสวมรองเท้าคัทชูคู่นั้นเพราะเขาเป็นเจ้าของ

ส่วนรองเท้าเจ้าของห้องน่ะเหรอ อยู่ในตู้รองเท้าต่างหาก คนเจ้าระเบียบอย่างนั้นไม่มีทางที่จะถอดรองเท้าเกะกะหรอก แถมยังพลอยทำให้ผมติดนิสัยแบบนั้นของเขาไปด้วย เพราะว่าผมเองก็กำลังเปิดตู้รองเท้าเพื่อเก็บรองเท้าใส่ตู้เหมือนกัน

อีกอย่างคือผมรู้แต่แรกแล้วว่ารองเท้าคู่นั้นเป็นของคุณลามิน เพราะเจ้าของห้องๆ นี้เขาใส่รองเท้าเบอร์สี่สิบสี่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเท้าจะใหญ่และยาวไปไหน

“สวัสดีครับคุณลามิน วันนี้งานเยอะเหรอครับ” ผมเลียบๆ เคียงๆ ถาม ถึงคุณลามินจะมาที่นี่บ่อยๆ เพราะเป็นผู้ช่วยคนสนิท แต่ถ้าดูจากเวลาแล้ววันนี้กลับดึกกว่าทุกวัน

“ก็เยอะเหมือนทุกวันนั่นแหละครับ”

“อ่อ ครับ ขับรถกลับดีๆ นะครับ สวัสดีครับ” ผมตัดบทสั้นๆ พร้อมกับยกมือไหว้คุณลามินเพื่อบอกลา

ถ้าคุณลามินบอกว่าเยอะแบบทุกวัน ก็แปลว่าผมสามารถเดินเข้าไปที่ห้องทำงานของเขาได้ใช่รึเปล่า แต่ถ้าเยอะแบบทุกวันจริงๆ ทำไมวันนี้คุณลามินเพิ่งกลับ

“มีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่าครับคุณเลโก้”

“เอ่อ ไม่มีครับ ขอบคุณ” ผมยิ้มแห้งพร้อมกับรีบซ่อนซองสีขาวในมือเอาไว้ด้านหลังทันทีเมื่อสายตาของคุณลามินมองมาที่มันแล้วยิ้ม เขาก้มหัวให้ผมเบาๆ ตามมารยาท ก่อนจะกลับหลังหันเพื่อเตรียมตัวกลับ

“คุณลามินครับ”

แต่สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายรั้งเขาเอาไว้ เฮ้อ~

“ว่าไงครับ มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกมาได้เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” คุณลามินถามอย่างมีน้ำใจ ผมรู้ว่าเขาดูออกนั่นแหละว่าผมซ่อนอะไรเอาไว้ด้านหลัง

“ผมแค่อยากถามว่าช่วงนี้พี่เขางานยุ่งหรือเปล่า” ผมค่อยๆ ถามออกไปอีกรอบ

“ก็ยุ่งครับ” แล้วทำไมคุณลามินตอบไม่ให้กำลังผมแบบนั้นกันล่ะ

“ครับ ขอบคุณครับ”

“เดี๋ยวครับคุณเลโก้”

ผมรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเลยจริงๆ

“ตามหลักข้อกฎหมายแล้ว ถ้าเรารู้ตัวว่าเราทำผิดแล้วเป็นฝ่ายยอมมอบตัวแล้วรับสารภาพ โทษหนักมันจะกลายเป็นเบานะครับ อย่างน้อยก็ดีกว่ารอให้หลักฐานมันตัวจนโดนจับได้”

ให้ตายเถอะ! คนรอบข้างผมคงสอบตกจิตวิทยาในการพูดกันหมดสินะ

“ครับ ผมเข้าใจ แต่หลักข้อกฎหมายที่คุณลามินพูด มันใช้ไม่ได้ในกรณีที่เป็นการทำความผิดซ้ำซากไม่ใช่เหรอครับ” ผมถามอย่างสิ้นหวัง

คุณลามินถึงกับกลั้นหัวเราะ ก่อนจะก้มหัวให้ผมอีกครั้งแล้วเดินกลับออกไปเงียบๆ ส่วนผมก็ยืนจ้องซองสีขาวในมือสลับกับบานประตูห้องทำงานที่ตอนนี้มันเปรียบเสมือนประตูนรก

ก๊อกๆ ๆ

วันนี้คงเป็นอีกวันที่ผมควรจดจำว่าเป็นวันที่โชคไม่เข้าข้างผม ไม่สิ มันก็เป็นแบบนั้นทุกวันนี่นา

“เข้ามา”

เสียงทุ้มๆ ของเจ้าของห้องดังมาจากด้านในหลังจากที่ผมเคาะประตู

ค่อยๆ เปิดในเข้าไปแล้วปิดมันลงอย่างเบามือก่อนจะเดินตรงไปที่โต๊ะทำงานของเขา ผู้ชายตัวสูงๆ ยืดลำตัวขึ้นตรงดิกและยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านแฟ้มรายงานคดีสำคัญๆ ที่เขารับผิดชอบอยู่ อุณหภูมิภายในห้องนี้ยังคงหนาวเย็นเสมอสำหรับผม

“เรื่องด่วนหรือเปล่า” เอ่ยปากถามด้วยระดับเสียงแบบโมโนโทน และยังไม่เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยซ้ำทั้งที่ผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาได้สักพักแล้ว

“ก็ด่วนครับ หรือจะคิดว่าไม่ด่วนก็ได้” ผมตอบเบาๆ พูดจบคนตรงหน้าก็นิ่งไปสักพักเหมือนกำลังใช้ความคิด แต่ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน

ผมยืนมองเส้นผมของคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหวาดๆ เขาชื่อ ‘อาทิตย์’ เป็นผู้ปกครองของผมเอง แต่ด้วยอายุอานามของเขาที่เพิ่งจะสามสิบไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ในขณะที่ผมอายุยี่สิบต้นๆ ผมก็เลยเรียกเขาว่าพี่

ความจริงแล้วเราไม่ได้เป็นพี่น้องกันแท้ๆ หรอก ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลยด้วยซ้ำไป เพียงแต่แม่ของผมกับแม่ของเขาเป็นเพื่อนสนิทกันเท่านั้นเอง ส่วนเหตุผลที่พี่อาทิตย์เขาต้องดูแลผมก็เพราะก่อนหน้านี้แม่ของผมเอาผมมาฝากไว้กับคุณป้าแม่ของพี่อาทิตย์ ก่อนที่คุณป้าจะฝากให้พี่อาทิตย์เป็นคนดูแลผมต่ออีกทีเพราะคุณคุณลุงจะต้องย้ายไปประจำที่สถานทูตในประเทศอะไรสักอย่างเล็กๆ ในแถบยุโรปซึ่งคุณป้าจะต้องตามไปอยู่ดูแลคุณลุงที่นั่น เพราะอย่างนั้นพี่อาทิตย์เขาก็เลยไม่ชอบขี้หน้าผมสักเท่าไรนักเพราะคิดว่าผมเป็นภาระ

บทก่อนหน้า
บทถัดไป