บทที่ 8 บทที่ 8

“ปล่อยนิจลงเถอะค่ะ นิจจะเดินเข้าไปเอง”

“เงียบเถอะน่าคุณนิจ อย่าเพิ่งอวดดีตอนนี้”

“นิจไม่ได้อวดดี แต่นิจไม่อยากให้คุณอุ้ม”

“ฝืนใจหน่อยก็แล้วกันนะ ไม่กี่นาทีหรอก” เขาก้มลงพูดกับคนในอ้อมแขน ก่อนจะหันไปบอกกับอีกคนที่ยืนมองอยู่ “เปิดประตูให้พี่หน่อยผิง”

ได้ยินเช่นนั้นพลอยพิมลก็ไม่รอช้า รีบขยับไปดันประตูบานสไลด์ให้เปิดออกเพื่อให้กฤชเพชรอุ้มอนามิกาเข้าไปข้างในบ้าน

ร่างเล็กถูกวางลงบนเบาะนุ่ม แสงจากไฟสว่างขึ้นจากฝีมือของพลอยพิมลที่เดินไปเปิดสวิตช์ จากนั้นเธอก็กลับมานั่งลงที่โซฟาตัวเดียวกันกับอนามิกา และใช้สายตากวาดมองอย่างสำรวจ ขณะที่กฤชเพชรเลี่ยงไปหยิบยาจากตู้ยามาให้

“คุณนิจหัวโนนี่คะ”

“นิจก็ว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น มันปวดตุบๆ อยู่ตรงหน้าผาก”

“มาค่ะ เดี๋ยวผิงทายาให้นะคะ”

ยาหม่องเนื้อสีขาวที่อยู่ในขวดกลมป้ายลงบนหน้าผาก ก่อนที่มันจะถูกละเลงอย่างเบามือ อนามิกาได้แต่แอบมองคนทาให้อย่างซาบซึ้งในน้ำใจ พลอยพิมลช่างเป็นคนดีเหลือเกิน ดีเสียจนเธอไม่กล้าอิจฉา ดีเสียจนเธอได้แต่คิดว่า ดีแล้วที่คนดีๆ ทั้งสองคนได้รักกัน

“ไปทำอีท่าไหนคะคุณนิจ ถึงได้ชนกระจกโครมใหญ่แบบนั้น” พลอยพิมลถามขณะละมือจากการทายามาแล้ว

“นิจว่าจะออกไปนั่งเล่นที่ระเบียงด้านนอก แต่พอดีเห็นผิงกับคุณเพชรกำลังคุยกันอยู่ก็เลยจะกลับเข้ามา แต่ซุ่มซ่ามไปหน่อยก็เลยพลอยทำให้วุ่นวาย ขอโทษนะ นิจไม่ได้ตั้งใจจะไปขัดจังหวะอะไร” อนามิกากล่าวขอลุแก่โทษหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งหน้าแดงระเรื่อขึ้น แล้วเลยมองไปยังผู้ชายอีกคน ก่อนจะหลุบตาลงเมื่อเห็นเขาส่งสายตามาดุๆ

“เอ่อ...คุณนิจก็ไม่ได้ขัดจังหวะอะไรหรอกค่ะ” พลอยพิมลบอกเขินๆ แม้จะเป็นคนตรงไปตรงมาแค่ไหน แต่มันก็น่าอายไม่น้อย เมื่ออนามิกาไปเห็นภาพที่ตัวเองกำลังเป็นฝ่ายกอดกฤชเพชรและถามหาความรักจากเขา

“ถ้าอย่างนั้นนิจขอตัวก่อนดีกว่า ผิงกับคุณเพชรจะได้คุยกันต่อ”

อนามิกาเอ่ยขอตัว แล้วเดินขึ้นชั้นสองไปเงียบๆ เพื่อเปิดโอกาสให้สองหนุ่มสาวได้สานต่อเรื่องที่ยังพูดจากันยังไม่จบ ตามที่พวกเขาอาจจะต้องการ

อากาศที่เย็นสบายในยามเช้าปลุกให้ร่างบางลุกขึ้นมาจากที่นอน ก้าวออกไปนอกระเบียงข้างห้องเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ บรรยากาศด้านนอกสดชื่นสวยงาม ผิดกับดวงตาซึ่งอิดโรยเพราะการนอนไม่หลับของเธอ แม้เมื่อคืนจะพยายามข่มตาเพียงไร แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะความว้าวุ่นในหัวใจได้

อนามิกาคิดว่าตัวเองเก่งมากที่สามารถตื่นได้แต่เช้าขนาดนี้ หากจะเทียบกับเวลาที่ได้นอนหลับ ทว่าก็ยังช้ากว่าสองคนข้างล่างที่กำลังปั่นจักรยานเคียงข้างกันอย่างมีความสุขกระมัง หญิงสาวรีบเมินหน้าหนีจากภาพที่มองเห็นอยู่ทันที แม้จะบอกตัวเองว่าไม่ได้อิจฉา แต่ความเจ็บปวดที่เก็บกดเอาไว้ มันก็พร้อมจะแสดงอาการออกมาได้ทุกเมื่อ

ร่างบางถอยฉากกลับเข้าห้องทันที โดยไม่เห็นว่าคนข้างล่างเงยหน้าขึ้นมามองตาม จนกระทั่งประตูที่เชื่อมระหว่างห้องกับระเบียงปิดลง

หลังจากอาบน้ำเสร็จเสื้อผ้าของแพรมุกก็ถูกหยิบมาใช้เป็นชุดที่สอง ชุดที่ใส่นอนเมื่อคืนอนามิกาวางมันลงในตะกร้า พับเสื้อผ้าชุดเก่าของตัวเองใส่ในกระเป๋า สำรวจว่าลืมอะไรหรือไม่เป็นลำดับสุดท้าย ก่อนจะหิ้วกระเป๋าลงไปชั้นล่าง

ข้าวต้มถูกเสิร์ฟเมื่อเจ้านายและแขกของเจ้านายมานั่งรวมกันเรียบร้อยแล้ว อนามิกาพูดคุยกับทุกคนเป็นปกติ เพราะเตรียมใจมาก่อนแล้วว่าต้องพบเจออะไรบ้าง หลังจากอาหารมื้อเช้าผ่านไป เธอก็ร่ำลาเจ้าของบ้านและพลอยพิมล ก่อนจะเดินออกไปที่รถของตัวเองซึ่งจอดอยู่ใต้ชายคาหน้าบ้าน โดยกฤชเพชรเป็นคนเดินออกมาส่ง ส่วนพลอยพิมลปลีกตัวขึ้นไปเก็บของเพื่อเตรียมกลับกรุงเทพฯ บ้าง

ร่างบางขยับเข้าไปนั่งในรถ เสียบกุญแจและบิดสตาร์ต แต่แทนที่เครื่องยนต์จะติด มันกลับมีแค่เสียงครางติดๆ กันแล้วก็ดับไปเฉยๆ ลองสตาร์ตอีกครั้ง ก็ยังไม่มีวี่แววว่ามันจะติดแต่อย่างใด

กฤชเพชรขยับไปเปิดประตูรถด้านหน้าออก แล้วก้มลงถามคนที่นั่งอยู่ข้างใน

“รถเป็นอะไร”

“นิจก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ จู่ๆ มันก็สตาร์ตไม่ติด เมื่อวานยังขับดีๆ อยู่แท้ๆ”

“งั้นเปิดกระโปรงรถหน่อย ผมจะดูเครื่องยนต์ให้”

อนามิกาลงจากรถหลังจากที่เปิดกระโปรงหน้าตามที่กฤชเพชรบอกแล้ว ร่างสูงก้มลงจับนั่นจับนี่ที่อนามิกาเองไม่รู้เรื่อง จึงได้แต่ชะเง้อมองเขาและถามอย่างลุ้นๆ

“มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าคะ”

“หัวเทียนบอดน่ะ” เขาเงยหน้าขึ้นบอก

“ปัญหาเดียวกับตอนที่ไปทะเลทราย” อนามิกาหลุดประโยคนั้นออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องพูดเมื่อคนที่ก้มอยู่หันหน้ามองคล้ายดั่งว่าเขาเองก็สะดุดใจเช่นกัน “คุณซ่อมมันให้นิจได้หรือเปล่า”

“ผมไม่มีหัวเทียนสำรองหรอก แต่เดี๋ยวจะโทร.ตามช่างที่อู่ในเมืองวิ่งรถเอามาเปลี่ยนให้”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป