ดันเจี้ยน
สามปีต่อมา...
“เอวา เดวิส!”
เสียงตวาดห้าวของผู้คุมที่ตะโกนเรียกชื่อเธอปลุกเอวาให้ตื่นจากนิทราอันกระสับกระส่าย ชั่วขณะหนึ่งที่ติดอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นอันพร่าเลือนระหว่างความฝันกับโลกแห่งความจริง เอวารู้สึกชาด้านอย่างเป็นสุขอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ความเป็นจริงจะไล่ตามทัน
เพียงชั่วพริบตา กำแพงหินมืดทะมึนรอบกายก็กลับมาชัดเจนในสายตา กลิ่นอับเหม็นของพวกมนุษย์หมาป่าที่ไม่ค่อยได้อาบน้ำทำให้โพรงจมูกของเธอแสบ ขณะที่เธอขยับตัวบนเตียงนอนแข็งเหมือนหิน ความปวดร้าวที่หลังก็เค้นเสียงครางอย่างไม่เต็มใจออกจากลำคอที่แห้งผากอยู่เป็นนิจของเธอ กระหายน้ำ หิวโหย เจ็บปวด และเหนื่อยล้า ลมหายใจของเอวาติดขัดเมื่อความทุกข์ทรมานจากความเป็นจริงถาโถมเข้าใส่ราวกับก้อนหินขนาดใหญ่ทับถมหน้าอกของเธอ
ถึงกระนั้น คืนนี้ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เธอตื่นขึ้นมาในสภาพคล้ายๆ กัน หรือแย่กว่านั้น ทุกคืนตลอดสามปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ทุกคนที่เธอเคยรู้จักและรักหันหลังให้และทิ้งเธอให้เน่าเปื่อยอยู่ที่นี่อย่างโดดเดี่ยวและถูกลืมเลือน แล้วเธอก็นึกถึงความฝันของตนเอง เห็นแก่ดวงจันทร์เถิด ความคิดของเอวาก็แสนรันทดไม่ต่างจากความรู้สึกส่วนอื่นๆ ของเธอ แม้แต่ในฝัน ฉันก็ยังหาความสงบสุขบ้าๆ นี่ไม่ได้เลยสักนิด
“เดวิส ฉันบอกให้ขยับ!” ผู้คุมทุบประตูห้องขังของเธอด้วยกระบอง “แคทเธอรีน แมดดิสัน! แกด้วย”
ความเจ็บปวดเฉียบพลันแล่นปราดผ่านลำตัวของเอวาขณะที่เธอพยายามจะลุกขึ้นยืน เธอกัดฟันกลั้นเสียงครางอีกครั้ง ใช้เวลาเพียงครู่เดียวกดลงบนซี่โครงที่ฟกช้ำ ตั้งใจจะหายใจให้ทันและตั้งสติก่อนจะเดินไปที่ประตู ความปวดที่เต้นตุบๆ ไปทั่วช่วงกลางลำตัวนั้นลึกถึงกระดูก แต่เอวากัดฟันแน่นและไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา
ตลอดสามปีที่ผ่านมา เอวาได้เรียนรู้ว่าสถานที่แห่งนี้ดำเนินไปอย่างไร อะไรคือสิ่งสำคัญในการเอาชีวิตรอด ชื่อและสถานะของเธอ ไม่มีอะไรสำคัญเลยในขุมนรกเล็กๆ อันน่าหดหู่นี้ อันที่จริง สิ่งเหล่านั้นกลับทำให้เธอตกเป็นเป้าเมื่อแรกมาถึงที่นี่ด้วยซ้ำ เธอใช้เวลาไม่นานนักในการตระหนักว่าความทะนงตนไม่ได้ช่วยให้เธอไปได้ไกลท่ามกลางเหล่านักโทษ และใช้เวลาน้อยกว่านั้นอีกในการตระหนักว่าความทะนงตนของเธอยิ่งจะไม่ได้ผลกับพวกผู้คุม ทุกคนที่นี่ต่างก็เป็นนักโทษ ไม่ว่าจะถูกตัดสินให้มาอยู่ที่นี่หรือไม่ และเอวาก็เป็นตัวแทนของระบบที่ทำลายชีวิตของพวกเขาทุกคน
จะไม่มีการปลอบประโลมใดๆ ที่นี่ ไม่มีการช่วยเหลือ นั่นคือบทเรียนแรกของเธอ แต่มันจะไม่ใช่บทเรียนสุดท้าย
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
เธอถูกจองจำได้ไม่นานนักในครั้งแรกที่ถูกลากออกจากเตียงนอน มือหยาบกระด้างกระชากร่างเธอไปตามพื้นคอนกรีตเย็นเฉียบ และก่อนที่ดวงตาเยี่ยงหมาป่าของเธอจะปรับเข้ากับความมืดได้ทัน รองเท้าบูทก็ประเคนเข้าที่ท้องของเธอ
“ชอบไหมล่ะ นังเบต้า?” เสียงที่เย้ยหยันนั้นทุ้มต่ำสำหรับผู้หญิงและแหบพร่า “ตอนนี้ใครใหญ่กว่ากันล่ะ?”
เอวากัดฟันสู้ความเจ็บปวด คว้าข้อเท้าของผู้จู่โจมแล้วกระชากสุดแรงจนอีกฝ่ายเสียหลัก เมื่อร่างเงานั้นล้มกระแทกพื้น เอวาก็ขึ้นคร่อม เธอม้วนตัวคุกเข่าแล้วกระโจนขึ้นทาบทับหน้าอกของผู้ทำร้ายด้วยปฏิกิริยาที่ฝึกฝนมานานหลายปีจากการฝึกการต่อสู้
“ก็ยังเป็นฉันอยู่ดี” เอวาแค่นเสียง
เอวาง้างหมัดแล้วซัดเข้าที่ใบหน้าของผู้จู่โจมหนึ่ง สอง สามครั้ง ก่อนที่มืออีกข้างจะคว้าข้อมือของเธอไว้
“โอ้โห มันพยศดีนี่หว่า!” อีกเสียงหนึ่งตวาด
ฉิบหายแล้ว มันมืดมากและเธอคิดไปเองว่าคนที่โจมตีเธออยู่คนเดียว เป็นความผิดพลาดแบบมือใหม่โง่ๆ
ผู้จู่โจมที่ไม่รู้จักซึ่งอยู่ด้านหลังบิดแขนของเธอ กระชากหัวไหล่จนมันหลุด เอวาสะดุ้งเฮือก ร่างกายแข็งทื่อ เปิดโอกาสให้ผู้จู่โจมลากเธอออกจากสมุนคนแรกที่กำลังดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด มือตะครุบจมูกที่แหลกละเอียด
เอวารู้สึกสะใจแวบสุดท้ายก่อนที่จะถูกผลักล้มลงกับพื้น ทันใดนั้น ผู้จู่โจมสองสามคนดูเหมือนจะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นเงาที่ดุดันราวครึ่งโหลรายล้อมเธอ
“พวกแกต้องการอะไรจากฉัน?” เธอหอบหายใจ เสียงเจือด้วยความโกรธและความเจ็บปวด
ก้อนเหนียวๆ ร้อนๆ เปียกๆ ถูกขว้างใส่หน้าเธอ “แกยังคิดว่าตัวเองดีกว่าพวกเรารึไง แกกำลังจะได้เรียนรู้ที่ของตัวเอง”
แล้วเท้าข้างหนึ่งก็กระทืบลงบนไหล่ที่หลุดของเธอ บดขยี้ข้อต่อที่บาดเจ็บนั้นเข้ากับพื้นหินเบื้องล่าง
เอวากรีดร้อง และราวกับว่าเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเธอเป็นสัญญาณให้กลุ่มคนร้าย การรุมทำร้ายก็เริ่มขึ้นอย่างจริงจังและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
เอวางอตัวตามสัญชาตญาณ ยกมือข้างเดียวที่ยังใช้การได้ขึ้นบังศีรษะ พยายามอย่างสิ้นหวังและไร้ผลที่จะป้องกันตัวเอง ทุกครั้งที่เธอเตะ ก็จะมีคนคอยจับเธอกดไว้ ทุกครั้งที่เธออ้าปากจะกรีดร้อง ก็จะมีแขนมาตวัดรัดคอ ตัดเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเธอ
พวกมันมีจำนวนมากเกินไป และเธอก็ไม่เคยถูกสอนให้ต่อสู้เพียงลำพัง เธอควรจะมีฝูงของตนคอยหนุนหลัง นั่นคือวิธีที่คนหมาป่าทุกตนถูกเลี้ยงดูมา คนหมาป่าที่โดดเดี่ยวมักเอาชีวิตไม่รอด บัดนี้ เอวากลายเป็นคนหมาป่าเดียวดายที่ต้องต่อกรกับฝูงชนบ้าคลั่ง เอวารู้ดีว่าหากไม่ใช่เพราะโซ่ตรวนเงินที่พันธนาการสัญชาตญาณหมาป่าของพวกตนไว้ ป่านนี้เธอคงตายไปแล้ว และคงไม่มีใครสนใจ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
คืนนั้นเอวาได้เรียนรู้คุณค่าของความเงียบ และมันก็เป็นประโยชน์กับเธออย่างดีตลอดสามปีที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้าและทรมาน หลังจากถูกรุมทำร้าย เธอก็ไปหาผู้คุมและถูกส่งกลับไปยังเตียงนอนโดยไม่ได้กินอาหารเย็นโทษฐานที่สร้างความวุ่นวาย
แม้ว่าการหลีกเลี่ยงการปะทะทางร่างกายในคุกแห่งนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่การถูกรุมทำร้ายจากกลุ่มนักโทษก็สิ้นสุดลงหลังจากคืนนั้น เอวาสงสัยว่านั่นเป็นเพราะเลย์ลามากกว่าผู้คุมคนไหนๆ
“เดวิส ฉันจะไม่พูดดีๆ อีกแล้วนะ” บ้าจริง เธอโอ้เอ้นานเกินไป ผู้คุมหญิงร่างใหญ่คนนั้นวนกลับมาที่ห้องขังของเธอแล้วหล่อนพรวดพราดเข้ามาหาเอวา คว้าข้อมือช้ำๆ ของเธอแล้วกระชากออกจากห้องขัง ในห้องโถง เธอถูกผลักไปอยู่ท้ายแถวของเด็กสาวกลุ่มหนึ่งที่กำลังถูกต้อนออกจากบริเวณที่พักหลัก “เรื่องเมื่อคืนก่อนยังสอนให้แกอยู่ในแถวไม่ได้อีกรึไง”
เอวากล้ำกลืนน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาทันทีเมื่อถูกตอกย้ำอย่างหยาบคายถึงเรื่องเมื่อสามคืนก่อน ซึ่งเป็นบทเรียนที่หนักหนาสาหัสที่สุดที่คุกใต้ดินแห่งนี้มอบให้เอวา
ใช่สิ เอวาคิด อยู่ที่นี่ ไม่ต้องมีคนหมู่มากเรื่องก็ถึงตายได้อยู่แล้ว
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
เอวานอนหงายแผ่ มึนงงจากการเชื่อมต่อกับมีอา หมาป่าในตัวเธอ ที่ถูกตัดขาดอย่างกะทันหัน แตกต่างจากการกดข่มตามปกติที่เกิดจากโซ่ตรวนเงิน มีอา...หายไปแล้ว
เธอได้ยินเสียงหอบหายใจอย่างติดขัดจึงมองไปเห็นเลย์ลา เลย์ลาผู้น่าสงสาร กำลังพยายามสูดอากาศเข้าปอดแต่ก็ผ่านรอยแผลเหวอะหวะที่ลำคอไปไม่ได้
“ไม่นะ” เอวาพยายามข่มความเจ็บปวดและความสับสน คลานเข้าไปคุกเข่าข้างเด็กสาวที่กำลังจะตาย มันเกิดขึ้นได้ยังไง ใครทำร้ายเลย์ลา เธอคือคนที่มีจิตใจดีที่สุดเท่าที่เอวาเคยพบเจอมาในชีวิต เป็นนักโทษเพียงคนเดียวที่ไม่เคยสร้างหรือดึงดูดปัญหาเข้ามาเลย เลย์ลาคอยดูแลปกป้องเอวาและช่วยให้เธอรอดพ้นจากตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วนตลอดหลายปีที่ผ่านมา นี่มัน...เกินจะเข้าใจได้ “เลย์ลา ฉันขอโทษจริงๆ” เธอสะอื้น “อดทนไว้นะ”
ท่ามกลางเลือดและน้ำตาของตนเอง ริมฝีปากของเลย์ลากระตุกเป็นรอยยิ้ม เธอกระซิบอะไรบางอย่างที่เอวาฟังไม่ถนัด ก่อนที่แสงสว่างจะจางหายไปจากดวงตาสีน้ำตาลอบอุ่นของเธอ
“เลย์ลา–” กระบองฟาดลงบนหลังของเอวาขณะที่เธอถูกลากออกไป สะอื้นไห้ไม่ใช่เพียงเพื่อการสูญเสียเพื่อนอีกคน แต่เพื่อดวงวิญญาณที่ไม่สมควรต้องมาอยู่ที่นี่และจะไม่มีวันได้ออกไป
เอวารู้ว่าเธอต้องทำมันเพื่อเลย์ลาให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม มันคือความปรารถนาสุดท้ายของเลย์ลา แม้เอวาจะไม่ได้ยิน เธอก็รู้ว่าเลย์ลาย้ำเตือนเธอด้วยลมหายใจสุดท้าย แคลิฟอร์เนีย
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“เราได้ครบแล้ว”
เอวามองขึ้นไปก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องพักรอกับผู้หญิงอีกราวสิบสองคน หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งเดินไปตามแถวของผู้หญิง ตรวจดูพวกเธออย่างละเอียด เมื่อมาถึงเอวาซึ่งอยู่ท้ายแถว หญิงคนนั้นทำหน้าเบ้เมื่อเห็นรอยฟกช้ำสีม่วงเข้มประปรายของเอวา “พวกนี้ใช้ได้” เธอกพยักหน้า
ด้วยแรงผลัก ผู้คุมด้านหลังกระตุ้นให้เธอเดินตามแถวเด็กสาวออกไปทางประตูเหล็กที่เอวาไม่เคยเห็นเลยนับตั้งแต่ถูกพามาที่นี่
สายลมอ่อนๆ ลูบไล้ผิวกายที่ร้อนผ่าวของเธอ ทำให้เอวาหยุดชะงัก เมื่อมองขึ้นไป เธอก็เกือบจะร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นดวงจันทร์ถูกโอบอุ้มด้วยทะเลดาวเบื้องบน พวกเธอออกมาข้างนอกแล้ว! เป็นครั้งแรกในรอบสามปีที่เอวาสามารถมองเห็นท้องฟ้าได้ จากเสียงสะอื้นหอบของผู้คนรอบข้าง เอวารู้ว่าเธอไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกเหมือนภาระหนักอึ้งบนบ่าได้ถูกยกออกไป
“พอได้แล้ว! พาพวกมันเข้าไปข้างในก่อนที่จะมีใครมาเห็น” คำสั่งเสียงห้วนเป็นสิ่งสุดท้ายที่เอวาได้ยินก่อนที่ถุงใบหนึ่งจะถูกโยนคลุมหัวเธอ เสียงร้องของเด็กสาวถูกกลบด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มขึ้น เอวาถูกยกตัวลอยขึ้น ซี่โครงของเธอเจ็บปวดราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ และถูกโยนเข้าไปในสิ่งที่น่าจะเป็นท้ายรถตู้ เสียงคัดค้านของเธอผสมปนเปไปกับเสียงของผู้หญิงคนอื่นๆ ขณะที่ประตูเหล็กปิดกระแทกเสียงดัง และกรงใหม่ของพวกเธอก็เริ่มเคลื่อนที่ หลังจากสามปี ในที่สุดเอวาก็ได้ออกจากคุกใต้ดินเสียที เพียงแต่ เธอสังหรณ์ใจว่าเธอคงจะอยากให้ตัวเองอยู่ที่เดิมมากกว่า


















































































































































