Chapter 7. อยากช่วย
“รูปที่คุณหนูยืนมองนานๆ รูปนั้นใช่ไหมเจ้าคะ ข้าเองก็ไม่ทราบเพราะไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเอง แต่ได้ยินว่านอกเมืองมีทัศนียภาพที่งดงามนัก เศรษฐีหรือขุนนางที่ร่ำรวยมักปลูกบ้านพักที่นั้นไว้พักผ่อนหย่อนใจเจ้าค่ะ”
หลินอวี้เจินพยักหน้ารับ ไม่นานรถม้ากลับมาถึงบ้าน เป็นจังหวะเดียวกับที่หลินเหิงอี้กลับจากเจรจาซื้อขายหนังกวาง เขาไม่ได้ว่ากล่าวอะไร หากหลานสาวจะออกไปนอกบ้านบ้างเพราะหวังหมิ่นติดตามไปด้วย อาจเพราะเติบโตในตระกูลชาวนามาก่อน แม้เป็นผู้หญิงแต่หากไม่ทำอะไรวันๆ เอาแต่เก็บตัวในห้องก็พาลจะอดตายเอาเสียก่อน เขาจึงไม่แปลกใจที่ครั้งนั้นเขาให้หลานสาวดูแลกิจการร้านขายผ้าของเขา โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของน้องชายคนรอง ซึ่งหลินอวี้เจินก็ทำได้ดีแม้นางจะอายุยังน้อย อาจเพราะเป็นร้านขายผ้าเล็กๆ ก็เป็นได้ การดูแลจึงไม่ยุ่งยากอันใดนัก
“ท่านลุงใหญ่” นางเอ่ยทักพลางมองเกวียนที่บรรทุกหนังกวางทยอยลำเลียงเข้ามาเก็บในโรงเก็บสินค้า “มีอะไรให้หลานช่วยหรือไม่เจ้าคะ”
“ถ้าอยากช่วยค่อยมาช่วยลุงตรวจบัญชีตอนเย็นก็แล้วกัน” หลินเหิงอี้ยิ้มให้หลานสาว กลับมาบ้านแล้วมีคนรอที่บ้านนี่มันรู้สึกดีจริงๆ
“ท่านลุงใหญ่ พรุ่งนี้วันเกิดท่านเจ้าเมือง ท่านเตรียมของขวัญเรียบร้อยแล้วหรือเจ้าคะ” ความจริงนางไม่สนใจเรื่องเหล่านี้นัก แต่เห็นท่านลุงใหญ่ทำงานยุ่งทั้งวันเกรงจะลืมจึงเอ่ยเตือน
“เตรียมแล้ว แต่ฐานะอย่างเราไม่มีของมีค่าใดนักหรอก” หลินเหิงอี้ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“ถ้าข้าจะรบกวนท่านลุงใหญ่นำของฝากของข้าไปด้วยจะได้หรือไม่เจ้าคะ”
“หืม? อะไรหรือ?” แม้จะแปลกใจอยู่บ้างแต่ก็นับเป็นเรื่องปกติ เพราะเขาเองก็เห็นบรรดาหญิงสาวในตันหยางหลงใหลได้ปลื้มกับท่านเจ้าเมืองที่ยังไม่แต่งภรรยากันแทบทั้งสิ้น แต่ไม่คิดว่าหลานสาวตัวเองก็จะเป็นหนึ่งในนั้นด้วย
“ของเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ”
หญิงสาวคลี่ยิ้มอ่อนหวานหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้าน หวังหมิ่นรอจนหญิงสาวเดินหายไปลับตาแล้วจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หลินเหิงอี้ฟังอย่างละเอียด
หลินเหิงอี้ได้แต่ขมวดคิ้วสีหน้าเคร่งเครียด หรือหลานสาวของเขาจะเป็นเช่นเดียวกับสตรีในเมืองตันหยางเสียแล้ว
หลินอวี้เจินไล่สายตาอ่านตัวอักษรบนจดหมายอีกครั้ง เมื่อทบทวนดีแล้วจึงพับใส่ซองเรียบร้อยเดินออกมาพร้อมกล่องกระดาษสีแดงสดสวย เมื่อนางสาวเท้าออกมานอกห้องก็พบว่าหลินเหิงอี้นั่งกุมศีรษะอยู่โดยมีหวังหมิ่นยกชามยาส่งให้ รอบๆ ยังมีบ่าวรับใช้ที่มีสีหน้ากังวลใจยืนอยู่ไม่ห่าง
“ท่านลุงใหญ่” หญิงสาวร้องเรียกและเมื่อเห็นหลินเหิงอี้เงยหน้าขึ้นใบหน้าซีดเซียวก็ทำให้นางตกใจรีบเดินเข้าไปหา “เกิดอะไรขึ้น?”
“นายท่านหน้ามืดเจ้าค่ะ” หวังหมิ่นรายงานพลางส่งชามยาให้หลินเหิงอี้ที่ยื่นมือมารับแล้วรีบดื่มทันที
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก พักสักครู่ก็ดีขึ้น”
“นายท่านทำงานไม่ได้หยุดได้พักติดต่อหลายวัน บ่าวว่าเชิญหมอมาตรวจดูอาการหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
“ข้าบอกไม่เป็นอะไรก็ไม่เป็นอะไร” หลินเหิงอี้ยันกายขึ้นจากเก้าอี้ แต่เพราะอาการยังไม่ดีขึ้นจึงทรุดลงไปนั่งตามเดิมอีกครั้ง
“ให้คนไปเชิญหมอมาเดี๋ยวนี้” คราวนี้หลินอวี้เจินออกคำสั่งเอง แล้วหันไปถลึงตาใส่ท่านลุงใหญ่ของนาง
“ท่านลุงใหญ่ต้องหยุดพักเจ้าค่ะ” นางออกคำสั่งหน้าตาจริงจังแล้วหันไปทางบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ “ประคองนายท่านกลับไปที่ห้องพัก”
“แต่...แต่นายท่านต้องนำของขวัญไปที่จวนท่านเจ้าเมืองนะขอรับ นี่ก็ได้เวลาแล้ว” บ่าวคนหนึ่งเอ่ยเสียงสั่นด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรดี
หลินอวี้เจินชะงักไปเล็กน้อย นางเม้มริมฝีปากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยด้วยท่าทีสุขุม
“ข้าจะไปเป็นตัวแทนท่านลุงใหญ่เองเจ้าค่ะ”
หลินเหิงอี้เบิกตากว้างมองหลานสาวที่พูดออกมาด้วยความแน่วแน่
“ท่านลุงอยู่ที่ตันหยาง แม้ไม่ใช่คนเมืองนี้แต่ก็อยู่มาหลายปี ทำการค้ามานาน วันเกิดท่านเจ้าเมือง ใครๆ ก็ถือโอกาสนี้นำของขวัญไปมอบให้ แม้ร้านของเราจะไม่ใช่กิจการใหญ่โต อาจไม่ได้อยู่ในสายตาผู้อื่นด้วยซ้ำ แต่เมื่อตระเตรียมของขวัญเรียบร้อยทุกอย่างอย่าง ก็ควรนำไปมอบให้ท่านเจ้าเมืองเสีย คงใช้เวลาไม่มากนัก ให้พี่หวังหมิ่นไปเป็นเพื่อนข้าก็พอ”
หลินเหิงอี้เห็นสีหน้ามุ่งมั่นของหลานสาวก็พยักหน้าอย่างพอใจ แม้เป็นผู้หญิงแต่ไม่อ่อนแอเอาแต่หวาดกลัวมิกล้าตัดสินใจทำสิ่งใด แม้เขาไม่มีลูกแต่ก็เอ็นดูนางประหนึ่งลูกในไส้ เห็นนางเป็นเช่นนี้แล้วใจก็เริ่มผ่อนคลาย ในภายภาคหน้าจะให้นางช่วยดูแลกิจการในส่วนของเขาได้
“หวังหมิ่น เจ้าไปช่วยคุณหนูแต่งตัวแล้วไปพร้อมนาง”
“เจ้าค่ะนายท่าน”
“ท่านลุงใหญ่ ข้าเขียนจดหมายถึงบิดา รบกวนให้คนช่วยนำไปส่งให้ด้วยเจ้าค่ะ” นางรีบยื่นจดหมายของนางให้หลินเหิงอี้ ใบหน้าหวานระบายยิ้มอ่อนโยน
“ท่านลุงใหญ่พักผ่อนให้สบายใจเถิดเจ้าค่ะ หลานไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับแล้ว”
หญิงสาวหันไปสั่งบ่าวไพร่ให้คอยดูแลหลินเหิงอี้อย่างดี สั่งให้คนนำของขวัญไปไว้ในรถม้ารวมทั้งของนางด้วย แต่นางไมได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เพราะเห็นว่าชุดที่สวมอยู่ก็เรียบร้อยดีอยู่แล้ว นางไม่ต้องการแต่งกายประชันขันแข่งกับผู้ใด และไม่ต้องการเป็นจุดเด่นหลังจากเกิดเรื่องที่ผ่านมาด้วย
ผู้คนมาจวนท่านเจ้าเมืองแน่นขนัด รถม้าของหลินอวี้เจินจำต้องจอดไกลสักหน่อย แต่หลินอวี้เจินไม่รู้สึกลำบากอะไร นางเดินพูดคุยหยอกล้อกับหวังหมิ่น คิดเพียงหาโอกาสเปิดหูเปิดตาในเมืองตันหยาง แห่งนี้ เมื่อได้เข้าไปในจวน นางเองไม่รู้จักผู้ใดแต่นางเคยเป็นตัวแทนบิดานำของขวัญมอบให้เหล่าขุนนางท้องถิ่นบ้าง แม้บิดามิใคร่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้แต่ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ นางเองก็พอเข้าใจ
“พี่หวังหมิ่นรู้หรือไม่ว่าท่านลุงเตรียมของขวัญอะไรมอบให้ท่านเจ้าเมือง” นางกระซิบถามเบาๆ
“เหรินเซินเจ้าค่ะ”
หลินอวี้เจินไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ท่านลุงใหญ่เตรียมโสมคนเป็นของขวัญให้ผู้อื่นในขณะที่ตัวเองต้องการยาบำรุงสุขภาพเช่นกันนะหรือ? นางได้แต่ส่ายหน้าไปมา หวังหมิ่นแม้ไม่ค่อยได้ออกจากเรือนของหลินเหิงอี้ แต่เพราะเป็นคนเมืองตันหยางจึงเคยเห็นหน้าบรรดาคุณหนูของบ้านอื่นที่มาคารวะท่านเจ้าเมือง แน่นอนว่าวันนี้ทุกคนแต่งกายงดงามประดุจงานรื่นเริงของเหล่าเทพธิดา มีเพียงคุณหนูของนางที่แต่งกายเรียบง่าย ทำให้นางได้แต่ถอนหายใจอย่างเสียดาย หากหลินอวี้เจินแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สีสดใส ประดับปิ่นระย้า สวมกำไลและแต้มสีชาดสักหน่อย เรียกได้ว่างดงามไม่แพ้หญิงใดในเมืองตันหยางเลยทีเดียว
