Chapter 8. เจ้ามาทำอะไรที่นี่

หลินอวี้เจินไม่คิดจะอยู่ที่นี่นานนัก อาศัยว่าตนไม่รู้จักใครเป็นพิเศษจึงตั้งใจว่าส่งกล่องของขวัญแล้วจะกลับทันที

ชายผู้นั้นนั่งตำแหน่งประธาน เพียงหางตาเห็นนางเดินเข้าไปใบหน้าไร้รอยยิ้มแม้แต่ดวงตายังคมกริบ  เห็นได้ชัดว่าเขารังเกียจนาง  นางชนน้องชายของเขาและเด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร เหตุใดแววตาของเขาที่จ้องมองราวกับฉีกนางออกเป็นชิ้นๆ

“ข้าน้อยหลินอวี้เจินเป็นตัวแทนร้านค้าตระกูลหลินนำของขวัญมามอบให้ใต้เท้ากัว ขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรง”

แต่เดิมนางนั่งคิดคำอวยพรอยู่บนรถม้ามาตลอดทาง แต่พอเห็นสายตาของเขาแล้วนางจึงไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด  หากเขาโกรธเคืองนางเพียงแค่ชนน้องชายของเขาหกล้มละก็... เขาช่างใจแคบเกินไปแล้ว

‘น้องชาย’

“ใต้เท้ากัว”  หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างนึกได้ “ของสิ่งนี้ข้าน้อยฝากมอบให้คุณชายกัวอี้เซียวเจ้าค่ะ”

“ของอี้เซียว?”

“เจ้าค่ะ”  นางยังสงบนิ่งแม้แววตาของเขาข่มขู่นางอยู่  “แทนคำขอโทษที่ข้าน้อยชนคุณชายกัวหกล้ม”

เขาหรี่ตามองนางแล้วขยับปลายนิ้วเรียกคนรับใช้ที่สาวเท้าเข้ามารับคำสั่ง  หญิงสาวไม่ได้ยินว่าเขาสั่งอะไรกับคนรับใช้  คราแรกนางนึกว่าเขาจะสั่งให้คนนำของไปมอบให้คุณชายกัว ทว่าเขากลับพูดออกมาว่า

“ของของอี้เซียว เชิญแม่นางหลินนำไปมอบให้เขาเองเถิด”

แม้ใบหน้าของนางยังสงบนิ่ง แต่รู้สึกเหมือนเส้นชีพจรตรงขมับเต้นตุบตุบ  นางย่อกายคารวะเขาอีกครั้งแล้วหมุนตัวเดินตามคนรับใช้ออกมาเงียบๆ  ด้วยความโมโหและหงุดหงิดนางเดินตามคนรับใช้ออกมาโดยไม่รู้ว่าหวังหมิ่นถูกกันมิให้เดินตามมาด้วย จนกระทั้งถึงเก๋งจีนด้านหลังที่ห่างไกลผู้คนและเสียงเพลงขับร้อง ทำให้นางเพิ่งรู้ตัวว่านางเดินออกจากลุ่มคนมาไกลเกินไปแล้ว

“ช้าก่อน”

นางเรียกคนรับใช้ ทว่าสายตาของนางเห็นเด็กหนุ่มกำลังก้มหน้าก้มตาอยู่ที่โต๊ะ  หลินอวี้เจินไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ นางเดินเข้าไปเงียบๆ โน้มตัวลงมองเด็กหนุ่มที่กำลังตวัดพู่กันไปมา แม้ลายเส้นเหล่านั้นยุ่งเหยิงจนไม่อาจบอกได้ว่าเป็นภาพอะไร  แต่นางกลับเห็นฝีแปรงที่มุ่งมั่น เด็ดเดียวและเฉียบขาดทำให้เผลอยิ้มออกมา

กัวอี้เซียวโยนพู่กันอย่างไม่พอใจ แขนเสื้อของเขาเปื้อนเปรอะหมึกเป็นรอยด่างดวง ทว่าเมื่อเขารู้สึกตัวว่าด้านหลังมีคนอยู่จึงเอี้ยวตัวมอง  ดวงตาของเด็กหนุ่มที่เมื่อครู่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดไม่พอใจ กลายเป็นดวงตากระจ่างใสและมุมปากยกยิ้ม  เขาอ้าปากแต่เหมือนต้องเค้นเสียงออกมา ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นกุมลำคอของตนเอง

หลินอวี้เจินยกมือใช้ปลายนิ้วชี้ที่ปากแล้วค่อยๆ ขยับออกเสียง

“ข้าอ่านปากได้ น้องชายค่อยๆ พูดเถิด”

“พะ...พี่...พี่...สาว”

“เก่งมาก”  นางกล่าวชม “พี่สาวขอนั่งด้วยได้หรือไม่”

เด็กหนุ่มพยักหน้าแทนคำตอบ หลินอวี้เจินจึงเดินอ้อมมานั่งที่เก้าอี้ว่าง

“เจ้าวาดเองหมดนี่หรือ เก่งจริง”

กัวอี้เซียวไม่มีใครเอ่ยชมหรือสนใจ รู้สึกดีใจจนใบหน้าแดง เขายื่นมือมาหยิบภาพวาดของตนให้นางดู  หญิงสาวเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มเปื้อนน้ำหมึก จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเช็ดใบหน้าให้เขาอย่างใจเย็น

“เมื่อวานข้าชนเจ้าหกล้ม วันนี้ของสิ่งหนึ่งมามอบให้แทนคำขอโทษ”  นางเอ่ยแล้วส่งกล่องของขวัญส่งให้กัวอี้เซียว  เด็กหนุ่มเบิกตาโตแล้วรีบเปิดออกอย่างรวดเร็ว  ทีแรกเขาทำท่าจะหยิบของในกล่องออกมา แต่กลับชะงักแล้วถูกมือที่เลอะคราบหมึกกับเสื้อที่สวมอยู่ก่อนจะหยิบสมุดภาพในกล่องออกมา

“แอบบอกเจ้า นี่ฝีมือข้าเอง ไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่อยากเอามาอวดเจ้า”   นางชวนคุย น้ำเสียงของนางหวานใสทำให้คนฟังได้ยินราวกับนางกำลังขับร้องบทเพลง

“ข้า...ชอบ...”

กัวอี้เซียวพลิกดูอย่างตั้งใจ ราวกับจมดิ่งในสมุดภาพของนาง นางมักบันทึกเรื่องราวเป็นรูปวาดง่ายๆ  บิดามักส่ายหน้ากับรูปวาดของนาง แต่เมื่อนางนำไปใช้สอนเด็กๆ พวกเขามักชอบและหัวเราะกับฝีมือวาดภาพเหล่านี้   เห็นหมึกที่เปื้อนเปรอะตามเนื้อตัวของเด็กหนุ่มแล้ว นางกลั้นเสียงหัวเราะ  คงเพราะกัวอี้เซียวเป็นน้องชายใต้เท้ากัว  จึงมีเงินละเลงหมึกเล่นเช่นนี้เป็นแน่

หญิงสาวอยู่สนทนากับเด็กหนุ่มเพลินจนลืมเวลา เสียงหัวเราะหวานใสดังเป็นระยะๆ จนกระทั้งหวังหมิ่นเดินเข้ามาตามนางเพื่อกลับบ้าน

“พี่สาวขอตัวกลับก่อนนะ”

กัวอี้เซียวมีสีหน้าหม่นลงเล็กน้อยแต่พยักหน้ารับรู้

“โอกาสหน้าพี่สาวจะมาเล่นด้วยใหม่”  นางยังคงยิ้มให้เด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน เมื่อเดินออกมาพ้นแล้ว จึงเอ่ยถามหวังหมิ่น

“พี่หวังหมิ่นหายไปไหนมา”

“บ่าวขอโทษเจ้าค่ะ  คนของใต้เท้ากัวมิให้บ่าวติดตามมาจนกระทั่งเมื่อครู่มีคำสั่งให้บ่าวเชิญคุณหนูกลับเจ้าค่ะ”

“เชิญกลับ? ไล่กลับละไม่ว่า”  หลินอวี้เจินบ่นพึมพำ  นางเดินออกมานอกจวนใต้เท้ากัวแล้ว หวังหมิ่นไม่ต้องการให้คุณหนูต้องเดินไปถึงจุดจอดรถม้าจึงบอกให้นางยืนรอด้านนอกแล้วรีบเดินเร็วๆ ออกไป

แต่หลินอวี้เจินกลับเดินไปเงียบๆ นางไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นคุณหนู ใช้ชีวิตอยู่เหนือผู้อื่น แค่เดินไม่กี่ก้าวเหตุในนางจะเดินไปเองไม่ได้เล่า ขณะที่ก้าวเท้าตามแผ่นหลังของหวังหมิ่น นางรู้สึกเหมือนถูกผลักไปด้านข้างเข้า มือใหญ่มารัดเอวลากนางเข้าไปในตรอกเล็กๆ

“ว้าย!”

ดวงตากลมโตของหญิงสาวเบิกกว้างเมื่อร่างเล็กถูกผลักประชิดกำแพงตึก ก่อนที่นางจะส่งเสียงขอความช่วยเหลือ มือใหญ่ของอีกฝ่ายก็ตะปบเข้าที่ปากของนางเสียก่อน

“บอกมา! เจ้ามาทำอะไรที่นี่!!!”

บุรุษในชุดดำทมิฬขู่ตะคอก แม้จะมีผ้าสีดำปิดครึ่งหน้าและโพกศีรษะของเขาอยู่  แต่แววตาชิงชังที่จ้องมองทำให้หลินอวี้เจินหวาดกลัว นางส่ายหน้าไปมาทำให้อีกฝ่ายลดมือคงแต่เลื่อนมาที่ลำคอพร้อมจะบีบให้แหลกค่ามือในทันที

“เจ้า...เจ้าพูดเรื่องอะไร...ข้า...ข้าไม่รู้”

“อย่ามาตีหน้าซื่อ! สารภาพมาก่อนที่ข้าจะหมดความอดทน!” เขาออกแรงเพียงนิดเดียวหญิงสาวก็ปวดร้าวไปทั่วลำคอ

“ข้าไม่รู้! เจ้าจำคนผิดแล้ว!”

“ทำไมข้าจะจำหน้าคนสกุลหลินไม่ได้”

“!”

หลินอวี้เจินพยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาของความหวาดกลัวไหลออกมา

“ข้าเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก”

ชายในชุดดำหัวเราะในลำคอ “อย่าคิดว่าข้าจะเชื่อในสิ่งที่พูด”

“ปล่อยข้านะ!”

“คุณหนู! คุณหนูหลินเจ้าค่ะ!”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป