บทที่ 2 บทที่ 1 คืนก่อนงานมงคลสมรส

บทที่ 1 คืนก่อนงานมงคลสมรส

เสียงสายลมหวีดหวิวพัดผ่านเรือนพักของหลินซือเหยา หญิงสาวก้าวเดินไปอย่างมั่นคงแม้ในใจจะว่างเปล่า ตั้งแต่วันที่นางตัดสินใจจะจากไป หัวใจของนางก็ไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว ไ

ม่มีความเจ็บ

ไม่มีความโกรธ

และไม่มีแม้กระทั่งน้ำตา

นางมาหยุดยืนอยู่ริมบ่อน้ำอีกครั้ง คืนนี้ฟ้าปิดสนิท ไม่มีดวงจันทร์ ไม่มีดวงดาว มีเพียงสายลมเย็นที่พัดผ่านเหมือนค่ำคืนที่พานางข้ามมิติมายังโลกนี้

หลินซือเหยายืนอยู่ริมบ่อน้ำ หญิงสาวมองเงาสะท้านของตนเองที่สั่นไหวตามระลอกคลื่นของน้ำ กระแสลมเริ่มพัดโหมเหมือนกับมีพายุ แต่นี่คือสิ่งที่หญิงสาวรอคอย

“ข้าคิดว่าข้าจะมีความสุขที่นี่…” นางพึมพำกับตัวเองเสียงเบา “แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่ความฝันที่ข้าหลอกตัวเองมาตลอด”

ซือเหยาหลับตาลง ความทรงจำไหลย้อนกลับมา

ครั้งหนึ่งหญิงสาวเคยอยู่ในอีกยุค เพราะขับรถฝ่าพายุจึงทำให้เธอมาโผล่ที่ยุคนี้ วันแรกที่นางมาถึง นางทั้งสับสนและหวาดกลัว นางเป็นเพียงหญิงสาวจากยุคที่ไกลออกไป แต่เพราะความรู้และทักษะจากยุคเดิม นางจึงสามารถช่วยเขาได้ ตอนแรกคิดว่าเป็นโชคชะตา ที่สวรรค์เมตตาพามาพบกับคนที่มีด้ายแดง แต่ไม่นึกเลย ต่อให้นางทำดีแค่ไหน ก็มิอาจจะสู้คนในใจของเขาได้

ยามเขาไร้ค่า เป็นเพียงคุณชายที่ไม่มีใครไยดีอยู่ในจวน เป็นนางที่ใช้ความรู้ของยุคใหม่ที่มี ช่วยทำให้เขาเก่งกาจจนคนเลื่อมใส

จากคุณชายกลายเป็นขุนนางที่มีตำแหน่งสูงส่ง เขาดูแลนางไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งยังแต่งนางเป็นเมียเอก แต่แม้จะได้ตัว แต่หัวใจเขากลับไม่เคยอยู่กับนาง

แม้จะได้ชื่อว่าเป็นพระชายา แต่กลับไม่มีสิทธิ์ ไม่มีเสียง ไม่มีความสำคัญในสายตาของเขา ทุกวันเวลาที่ผ่านไปมีเพียงความเงียบเหงาเป็นเพื่อน แม้กระทั่งสาวใช้ในจวนก็ยังดูถูกเหยียดหยาม

หนึ่งปีก่อนงานชมดอกเหมยในพระราชวัง เหล่าขุนนางต่างพาภรรยาและบุตรเข้าไปในวัง แต่ซือเหยากลับต้องแต่งตัวเก้อ

“เจ้าจะไปทำไมกัน งานแบบนี้ไม่เหมาะกับเจ้าที่ไม่รู้ธรรมเนียมหรอก รออยู่ที่จวนนี่ไม่นานข้าก็กลับมาแล้ว” หลินซือเหยายิ้มเยาะตน หากไม่เห็นว่ามีใครรออีกฝ่ายอยู่ในรถม้า นางก็คงเชื่อคำของชายหนุ่มไปแล้ว

“ท่านโหวพาคุณหนูหวังไป ช่างเหมาะสม ไม่เหมือนกับพระชายา ทำตัวแปลกประหลาด ใครจะกล้าพาไปออกงาน”

ซือเหยาหันมองไปยังเหล่าสาวใช้ ที่แม้นางจะได้ชื่อว่าพระชายา แต่พวกนางนั้นกลับไม่เชื่อฟัง

เพียงแค่เพราะนางไม่รู้ธรรมเนียมบางอย่างที่นี่ในตอนที่เพิ่งมา แต่ยามนี้นางก็รู้หมดแล้ว แต่ทุกคนก็ยังใช้เรื่องนี้มาปิดกั้นไม่ให้นางออกไปข้างนอก หรือแม้แต่ไปร่วมงานต่าง ๆ

แม้กระทั่งงานมงคลของนางกับท่านโหวหนุ่มก็ยังทำกันเงียบ ๆ ภายในจวน

หลินซือเหยายืนมองพวกเขาที่ประคองกันขึ้นรถม้าไป

“พี่หญิงไม่ไปด้วยหรือเจ้าคะ”

“เจ้าจะไปพูดถึงนางทำไม นางทำตัวประหลาด หากไปในวังหลวงอาจจะทำให้ข้าขายหน้าได้ ไปกันเถอะ”

เสียงคำของสามีที่ลอยตามลมมา ทำให้ซือเหยารู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเมินเฉยต่อนางมากแค่ไหน ยามเมื่ออยู่กับคนที่ตนรัก

“เจ้าไม่มีทางเป็นเหมือนคุณหนูหวังได้หรอก นางช่างสมบูรณ์แบบ ไม่เหมือนกับเจ้าที่ทั้งแปลกประหลาดและไม่รู้จักธรรมเนียม”

ซือเหยาลืมตาขึ้น นางไม่ได้รู้สึกอะไรอีกแล้วกับคำพูดพวกนั้น นางผ่านพ้นความเจ็บปวดมามากพอแล้ว ความผิดหวังมันกัดกินหัวใจของนางจนด้านชา

สามเดือนก่อนนางเฝ้ารอเขาอยู่ค่อนคืน เลยยามจื่อไปแล้ว แต่สามีก็ยังไม่กลับ

“พระชายาไม่ต้องรอแล้วเจ้าค่ะ เดี๋ยวนายท่านมาก็เข้าไปพักที่เรือนเอง”

“เจ้าเคยบอกว่าเป็นหญิงสาวต้องรอสามีกลับมา นอนก่อนไม่ได้ไม่ใช่หรือ” สาวใช้คนสนิทก้มหน้า จริงอยู่ที่ปกติจะเป็นเช่นนั้น แต่หากเทียบกับนายท่านแล้ว...สาวใช้ถอนหายใจ

“ลมแรงมากแล้ว เดี๋ยวพระชายาจะได้ไข้ เข้าไปนอนก่อนเถอะเจ้าค่ะ”

ซือเหยาพยักหน้า แต่ระหว่างที่นางจะหันหลังเข้าจวน สามีของนางก็ประคองสตรีที่นางรู้จักดีเข้ามา

“เจ้ามายืนอยู่ตรงนี้ทำไม” น้ำเสียงไม่พอใจถูกเอ่ยออกมาให้กับคนที่ยืนรอจนกายหนาวเหน็บ

“ข้าเห็นท่านพี่ยังไม่กลับ”

“มิใช่ข้าเคยบอกเอาไว้แล้วหรือว่าเรื่องของข้าเจ้าไม่ต้องมาก้าวก่าย” ซือเหยาไม่ตอบ แล้วมองเลยไปยังคุณหนูหวังที่อยู่ในอ้อมกอดสามี

“นางไม่สบาย ข้าจะพานางไปที่เรือนรับรอง” ซือเหยาขยับตัวจะเข้าไปช่วย “เช่นนั้นให้ข้าบอกคนเตรียมเรือน...”

“ข้าให้คนมาแจ้งเอาไว้แล้ว ในเมื่อเจ้าไม่มีธุระอะไรตรงนี้ก็กลับไปเถอะ ข้าจะพานางไปพักผ่อน เจ้าไม่ต้องรอ...”

คำนั้นทำให้หัวใจของหลินซือเหยาจุกจนไม่อาจจะหายใจได้ ความหมายนั้นชัดเจนยิ่งนัก ทั้งคำพูดและท่าทาง ราวกับนางเป็นเพียงอะไรสักอย่างที่วนเวียนอยู่ในชีวิตของเขาให้รู้สึกรำคาญ ไม่สำคัญพอให้ต้องสนใจความรู้สึกด้วยซ้ำ

คืนนั้นซือเหยาจ้องมองแผ่นหลังของคนที่นางเคยคิดว่านางรัก ประคองหญิงสาวอีกคนเดินจากไป มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ แต่กลับไม่มีแม้น้ำตาสักหยด

แววตาที่เคยเจ็บปวดเริ่มชินชา ไม่มีคำต่อว่าหรือน้อยใจหลุดออกมาจากปาก และตั้งแต่นั้นนางก็เลิกที่จะสนใจเรื่องของเขา

ในทุกคืนหญิงสาวมักจะออกมาจ้องมองดูบ่อน้ำที่เคยเป็นประตูมิติพานางมาที่นี่ พลางนึกถึงบรรยากาศตอนนั้น พายุฝนกระหน่ำ ลมแรงและฟ้าร้อง หากมีทุกอย่างครบ บางทีถ้านางกระโดดบ่อน้ำลงไปตอนนั้น อาจจะสามารถกลับไปยังที่ที่นางจากมา

ในเมื่อที่นี่ไม่มีอะไรให้ต้องอาวรณ์แล้วนางก็ไม่คิดอยู่ สงสารก็แต่สาวใช้คนสนิท ที่นางอุตส่าห์ไม่สนใจคนอื่น อยู่เคียงข้างนางตั้งแต่มาที่นี่จนถึงทุกวันนี้

นางโยนถุงเงินที่เตรียมไว้ให้สาวใช้คนสนิท และมอบหนังสือไถ่ตัวให้แก่นาง อีกฝ่ายตกใจพยายามจะปฏิเสธ แต่ซือเหยากลับยิ้มบางเบา

“เงินก้อนนี้เจ้าก็รับเอาไว้แล้วก็ออกไปใช้ชีวิตเถอะ ส่วนนี่หนังสือไถ่ตัวของเจ้า จากนี้ไป เจ้าก็ใช้ชีวิตของเจ้าซะ อย่าเสียเวลามาอยู่กับข้าอีกเลย”

“พระชายาหมายความเช่นไรเพคะ”

ซือเหยายิ้ม “ข้าจะกลับบ้านแล้ว ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องอยู่ดูแล”

สาวใช้ตัวสั่น น้ำตาคลอเบ้า บ้าน บ้านที่ไหนกัน  “แต่พระชายา… แล้วพระชายาจะไปที่ไหนเพคะ”

ซือเหยาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองบ่อน้ำ นางไม่ตอบคำถามนั้น แต่ดวงตาที่เคยว่างเปล่าฉายแววแน่วแน่ ราตรีนี้ยังยาวนาน ไม่รู้ว่าเมื่อกระโดดลงไปในบ่อน้ำนั้น นางจะได้กลับไปยังโลกเดิมจริงหรือไม่…

แต่ไม่ว่ายังไง ที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องอาวรณ์อีกแล้ว

“ข้าเพียงแค่… จะกลับบ้าน”

“แต่ว่า”

“เชื่อข้าเถอะ หากข้าไปแล้วเจ้ายังอยู่ เจ้าอาจจะถูกลงโทษ รีบไปเสียตอนนี้ หวังว่าเจ้าจะมีชีวิตที่ดี” ซือเหยามองไปยังเรือนพักของตน ตั้งแต่แต่งกันไม่รู้ว่าสามีของนางมาที่นี่สักกี่ครา

ของที่เขาให้ก็ล้วนเป็นของที่เขาเองก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยให้นาง

“จากนี้ข้าจะคืนให้ทั้งหมด”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป