บทที่ 7 บทที่ 6 เสื่อมถอย

บทที่ 6 เสื่อมถอย

สิ่งที่กำลังดำเนินอยู่แคว้นอีกฟาก

หลี่โหวมักพาชายารองมาเรือนหมากล้อมทุก ๆ สองวัน สมัยยังเป็นเพียงคุณชายหลี่อวิ้นรุ่ย เขาก็ชอบมาเช่นนี้ เพียงแต่ข้างกายของเขาในตอนนั้น… เป็นสตรีนางหนึ่ง นางดูแปลกตาไปจากสตรีทั่วไป จนเมื่อเวลาผ่านไปเขาจึงรู้

ว่านางเป็นหญิงสาวจากต่างถิ่น แต่มากด้วยฝีมือหมากล้อม ทุกครั้งที่นางมากับเขา มักจะมีคนเข้าหาขอประลองฝีมืออยู่เสมอ

หลี่โหวทรุดตัวลงนั่งที่ประจำเช่นเคย เดิมทีวันนี้เขามาเพื่อโอ้อวดว่าได้แต่งกับคุณหนูหวัง หญิงสาวที่ตระกูลใหญ่ทั้งหลายต่างหมายตาอยากได้เป็นสะใภ้ แต่หลังจากแต่งงานกับหวังอีเหมยและพานางมาที่เรือนหมากล้อม ก็มีเพียงผู้คนเข้ามาแสดงความยินดีในเรื่องการแต่งงาน ทว่ากลับไม่มีใครเอ่ยชวนเขาดวลหมากเลยสักตา

ความเงียบงันเช่นนี้ทำให้หลี่โหวรู้สึกอึดอัด เขากวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนหันไปสั่งต้าหวัง บ่าวรับใช้ที่ติดตามเขามาตั้งแต่วัยเยาว์

“ต้าหวัง เจ้าไปเชิญท่านเจียงมาร่วมดวลหมากกับข้าสักตา”

ต้าหวังได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด ฝีมือหมากล้อมของนายท่านหากวัดตามลำดับแล้ว คงอยู่แทบจะท้าย ๆ ของเรือนหมากล้อมนี้ แต่กลับให้เขาไปเชิญท่านเจียง ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งมาประลองด้วย… จะมิกลายเป็นขายหน้าตัวเองหรือ

ต้าหวังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นสายตาของหลี่โหวที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ก็ได้แต่กลืนคำคัดค้านลงไปในลำคอ ก่อนจะโค้งคำนับแล้วถอยออกไป…

“ไม่ล่ะ เสียเวลา”

เสนาบดีเจียงตอบปฏิเสธทันที น้ำเสียงเรียบเฉยไร้ความลังเล

หากพบกันภายนอก เขาคงไม่เอ่ยปฏิเสธหลี่โหวเช่นนี้ อาจรักษามารยาทยอมดวลด้วยสักตา แต่ที่เรือนหมากล้อมแห่งนี้ ทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน ไม่ขึ้นกับยศถาบรรดาศักดิ์หรืออำนาจทางการเมือง หากเขาต้องลดมือลงไปดวลกับผู้ที่ฝีมือห่างชั้นเพียงเพื่อเอาใจ จะมิกลายเป็นว่าเขาฉวยโอกาสรังแกหลี่โหวหรอกหรือ

ยิ่งไปกว่านั้น… หากลงมือแล้วชนะ ก็คงไม่มีผู้ใดเห็นว่าเป็นเรื่องน่ายกย่อง แต่หากเผลอพลาดท่าเสียทีไป ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นเรื่องครึกโครมในวันพรุ่งก็ได้

ต้าหวังยืนตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าเอ่ยอะไร ได้แต่ก้มศีรษะล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อได้ฟังคำรายงานของบ่าว หลี่โหวก็หน้าดำคล้ำด้วยโทสะ ดวงตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

“เสนาบดีเจียงปฏิเสธข้าเช่นนั้นหรือ” น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบ

ต้าหวังก้มหน้าต่ำ ไม่กล้าตอบสิ่งใด

หลี่โหวกำมือแน่นก่อนจะลุกขึ้นก้าวตรงไปยังที่นั่งของเสนาบดีเจียงด้วยตนเอง เสื้อคลุมยาวสะบัดตามแรงฝีเท้า บรรยากาศรอบตัวเขาดูเคร่งขรึมขึ้นจนผู้คนในเรือนหมากล้อมเริ่มหันมามองด้วยความสนใจ

เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าชายวัยกลางคนที่กำลังวางหมากอยู่ หลี่โหวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกดต่ำ

“ท่านเจียง ข้าขอดวลกับท่านสักตา”

เสนาบดีเจียงละสายตาจากกระดานหมาก ลอบถอนใจเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้ามองเขา ดวงตาฉายแววเรียบเฉย ไม่มีความยำเกรงหรือรีรอแม้แต่น้อย

“หลี่โหว ข้าไม่ว่าง” เขาตอบเสียงเรียบ ก่อนจะหันกลับไปสนใจหมากเบื้องหน้าอีกครั้ง ราวกับว่าหลี่โหวเป็นเพียงสายลมพัดผ่าน

บรรยากาศรอบข้างพลันเงียบกริบ…

“ทุกครั้งที่ข้ามา ท่านก็รับคำท้าประลองหมากทุกครั้ง ไยครานี้จึงไม่รับ”

หลี่โหวเอ่ยถาม เสียงของเขาข่มอารมณ์โทสะเอาไว้ แต่ความไม่พอใจยังคงฉายชัดอยู่ในดวงตา

เสนาบดีเจียงเงยหน้าขึ้นมองบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้า… บุรุษที่เมื่อก่อนแทบไม่มีใครใส่ใจ หากมิใช่เพราะแซ่หลี่และสายเลือดของเขา เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดเหลียวแล ทว่าการที่หลี่อวิ้นรุ่ยก้าวขึ้นมาเป็นหลี่โหว ไม่ใช่เพราะความสามารถของเขาเอง แต่เป็นเพราะมี ผู้หนุนหลัง และคนผู้นั้นก็คือตัวเขาเอง

จากเชื้อพระวงศ์ที่ไม่ได้มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์เขาอุตส่าห์นำความไปทูลฮ่องเต้ ว่าหลี่อวิ้นรุ่ยผู้นี้ทำความดีความชอบและจะสามารถนำพาแคว้นฉู่ก้าวไปสู่ยุคใหม่ จนได้ศักดินา

เขาเคยคาดหวัง…

หวังว่าการผลักดันหลี่อวิ้นรุ่ยขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงกว่าเดิม จะช่วยให้หญิงสาวผู้นั้นสามารถใช้สติปัญญาที่นางมีผ่านสามีของนางได้ เพราะโลกนี้ไม่เปิดโอกาสให้สตรีได้ออกหน้า หรือได้รับการยอมรับในความสามารถ หากนางต้องการแสดงอำนาจหรือมีบทบาทในการกำหนดชะตา นางต้องทำผ่านบุรุษที่เป็นสามีของตน และเขาก็เต็มใจจะช่วย…ยามนางเอ่ยปากขอร้องให้ช่วยหนุนหลังคนสติปัญญาต่ำเตี้ยเช่นนี้ เขาคิดว่านางคงจะควบคุมความคิดอ่านของสามีได้

แต่ตอนนี้ ทุกสิ่งเปลี่ยนไปแล้ว

เขามองหลี่โหวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบเสียงเรียบ

“เพราะข้าไม่มีเวลาเสียให้กับคนที่ไม่รู้จักใช้โอกาสให้คุ้มค่า”

หลี่โหวชะงักไปชั่วขณะ ก่อนที่สีหน้าจะมืดดำลงกว่าเดิม…

“หากนางยังอยู่ ข้าคงยอมดวลหมากกับท่าน”

เสนาบดีเจียงกล่าวเสียงเรียบ แต่ทุกถ้อยคำกลับคมกริบดุจใบมีด แม้ไม่เอ่ยชื่อหลินซือเหยาออกมา คนทั้งเรือนหมากล้อมก็รู้ดีว่าเสนาบดีเจียงกำลังพูดถึงผู้ใด

“เพราะอย่างไร ทุกย่างก้าวที่เดินหมาก แต่ละตาที่ลงไป ล้วนมีนางคอยกระซิบข้างหูท่านโหวเสมอ”

ดวงตาของชายวัยกลางคนจับจ้องหลี่โหว ไม่ได้แฝงความท้าทาย หากแต่เป็นความผิดหวัง

“แต่ยามนี้… ไร้ซึ่งเงาของนางข้างกาย เกรงว่าจะเป็นการเสียเวลาเปล่า เมื่อรู้ผลแพ้ชนะตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม”

คำพูดของเสนาบดีเจียงทำให้หลี่โหวรู้สึกเหมือนถูกแทงเข้ากลางใจ ความโกรธก่อตัวจนลมหายใจของเขาติดขัด มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ดวงตาที่เคยมั่นใจในตนเองเริ่มแฝงไปด้วยความปั่นป่วน ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า คำพูดนั้นสะท้อนความจริงที่เขาปฏิเสธมานาน

หลังจากที่ได้ตำแหน่งโหวมา เขาพยายามอย่างหนักเพื่อกดซือเหยาลง เพื่อที่ตนเองจะได้ภูมิใจในอำนาจและตำแหน่งที่ได้รับมาอย่างสมเกียรติ นี่คือสิ่งที่เขาคิดว่าเขาสมควรได้รับ แต่เขาจะยอมรับได้อย่างไร… ว่าทุกอย่างที่เขามีในตอนนี้ มันเกิดจากการสนับสนุนของสตรี

สตรีที่ไร้หัวนอนปลายเท้า สตรีที่ไม่มีสกุลใด ๆ หนุนหลัง

การยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีในวันนี้เป็นผลมาจากความช่วยเหลือของซือเหยา ซึ่งไม่ใช่แค่จากฝีมือและความสามารถของเขาเอง มันจะทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังยอมรับว่าตนเองอ่อนแอ… ไม่มีค่าพอที่จะได้สิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเอง

การยอมรับความจริงที่ว่าตำแหน่งที่เขามีอยู่ได้มาเพราะการสนับสนุนจากสตรี จะทำให้ภาพลักษณ์ของเขาที่ยิ่งใหญ่พังทลายลง เขาจะยอมรับได้อย่างไร

ใช่… ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เขาประลองหมากกับเสนาบดีเจียง เขาอาจเป็นผู้ลงหมากเอง แต่แท้จริงแล้ว ใครกันที่เป็นผู้วางหมากตัวจริง

เงาของหญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่เคียงข้าง ทว่าบัดนี้ไม่อยู่แล้ว…

ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วเรือนหมากล้อม ผู้คนรอบข้างลอบมองด้วยความสนใจ บางคนแสร้งทำเป็นไม่เห็น ขณะที่บางคนเริ่มซุบซิบกันเบา ๆ

แต่หลี่โหวไม่ได้ยินเสียงใดทั้งสิ้น นอกจากเสียงของความจริงที่เสียดแทงเข้าในใจเขาเอง…ความจริงที่เขาหลอกตนเองมาตลอด

เสนาบดีเจียงก้มมองกระดานหมากตรงหน้า หยิบเม็ดหมากขึ้นมาหมุนเล่นในมืออย่างใช้ความคิด เขาเองก็ไม่ใช่คนที่หวั่นไหวง่ายต่อข่าวลือ ในคราแรกที่ได้ยินข่าวเขาไม่เชื่อ ตกใจมิน้อยที่รู้ข่าวว่าหลินซือเหยากระโดดบ่อน้ำปลิดชีพตนเอง เพียงเพราะสามีแต่งภรรยาอีกคน แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปถึงสามเดือน โดยไร้เงาของหลินซือเหยาอยู่เคียงข้างหลี่โหวเหมือนเช่นเคย เขาก็เริ่มต้องยอมรับความจริง

“ซือเหยา… เจ้าจากไปจริง ๆ แล้วหรือ”

เขาไม่ได้รู้สึกเสียดายเพียงเพราะนางเป็นหญิงสาวผู้ปราดเปรื่องด้านหมากล้อม แต่เขาเสียดายความสามารถของนางที่เคยช่วยวางรากฐานหลายสิ่งให้กับแคว้นฉู่ นางเป็นมันสมอง เป็นผู้วางแผน เป็นคนที่หลี่โหวมักจะขอคำปรึกษา แม้หลี่โหวจะไม่ยอมรับต่อหน้าผู้ใดก็ตาม

แต่ตอนนี้… นางไม่อยู่แล้ว

หลี่โหวเป็นคนทะเยอทะยานก็จริง แต่เขาไม่ใช่คนฉลาดพอที่จะรักษาสิ่งที่ได้รับมา หากไร้ซือเหยาอยู่ข้างกาย อีกไม่นานอำนาจของเขาก็คงจะเริ่มสั่นคลอน

เสนาบดีเจียงถอนหายใจยาว พลางวางเม็ดหมากลงบนกระดาน หมากตานี้เขายอมเสียไปโดยไม่คิดจะเล่นต่อ เพราะไม่ว่ากี่ตาที่ผ่านมา ซือเหยาก็มักจะเป็นฝ่ายได้เปรียบเสมอ

“เสียดาย… เสียดายจริง ๆ” ความก้าวหน้าของแคว้นฉู่

ชายวัยกลางคนส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะหันไปจิบชาช้า ๆ แต่แม้รสชาในถ้วยจะขมกลมกล่อมเพียงใด มันก็ไม่อาจล้างรสขมปร่าในใจเขาได้เลย…

บทก่อนหน้า
บทถัดไป