บทที่ 3 งานเลี้ยง1/2
“ฝันนั้นน่ากลัวมากเลยหรือเจ้าคะ ทั้งที่เมื่อวานหลังจากคุณหนูกลับมาจากร้านน้ำชา คุณหนูยังบอกอยู่เลยว่าความฝันก็คือความฝันไม่มีทางเป็นจริง แต่วันนี้คุณหนูกลับไม่มั่นใจในสิ่งที่คิดแล้วอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยถามฟางหนิงหลิน
“นั่นสิความฝันก็คือความฝัน คงเพราะมันน่ากลัวจนเกินไป แม้ตื่นนอนขึ้นมาแล้วความรู้สึกก็ยังติดค้างอยู่ในใจ จนข้าไม่อาจลืมภาพที่เกิดขึ้นในฝันได้” ฟางหนิงหลินทำหน้าเศร้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้ลี่จินและลี่อินผ่านเงาในกระจก
“คุณหนูอย่ากังวลไปเลยเจ้าคะ มันเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น เลิกขมวดคิ้วได้แล้วเจ้าค่ะ หากยังทำหน้าเช่นนี้จะไม่สวยนะเจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“หากคุณหนูกลัวว่าเรื่องในฝันจะเกิดขึ้น ท่านก็เพียงป้องกันไว้ก่อนก็ได้หนิเจ้าคะ หรือจะหลบเลี่ยงไม่เผชิญหน้าก็ย่อมทำได้” ลี่อินเอ่ยเพื่อปลอบประโลมฟางหนิงหลินให้นางคลายกังวล
“จริงด้วยเจ้าค่ะ หลังจากกลับมาจากงานเลี้ยงคุณหนูค่อยมาเล่าเรื่องราวในฝันให้พวกเราฟังและช่วยกันหาทางแก้ดีหรือไม่เจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าฟางหนิงหลินพยักหน้าตอบรับนางจึงเอ่ยต่อ
“ดีเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้คุณหนูต้องปล่อยวางความฝันนั้นลงก่อน และกลับมาเป็นคุณหนูที่สดใสไร้กังวลคนเดิมของพวกเราก่อนนะเจ้าคะ”
ฟางหนิงหลินยกยิ้มขึ้นและนั่งนิ่งให้ทั้งสองแต่งหน้าทำผมให้จนเสร็จ เมื่อถึงเวลาฟางหนิงหลินก็เดินทางไปยังวังหลวงพร้อมบิดาและมารดาของนางตามเทียบเชิญ
ณ.วังหลวง
เมื่อรถม้าจอดเทียบที่หน้าประตูวังเหล่าขุนนางและครอบครัวก็ต่างพากันเดินเข้ามาภายในวังที่ถูกจัดเตรียมงานไว้เป็นอย่างดี งานนี้เหตุผลที่จัดขึ้นนอกจากจะฉลองชัยชนะและสรรเสริญเหล่าผู้กล้าในสงคราม ยังมีเหตุผลอีกอย่างที่เชิญเหล่าครอบครัวขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์มาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย นั่นก็คือการดูตัว
ไทเฮาและฮองเฮาต้องการให้เหล่าองค์ชายและองค์หญิงได้มีโอกาสพบเห็นสตรีและบุรุษที่เป็นลูกหลานขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์ เพื่อจะได้เลือกมาเป็นชายาและเป็นราชบุตรเขยในอนาคต
เพราะฮ่องเต้ทรงรับปากฮองเฮาพระองค์ก่อนไว้ว่าจะไม่บังคับให้เหล่าองค์หญิงและองค์ชายแต่งพระชายาหรือราชบุตรเขยอย่างไม่เต็มใจ ถึงไทเฮาและฮองเฮาองค์ปัจจุบันจะไม่เห็นด้วยแต่จะคัดค้านคำขอสุดท้ายของคนใกล้ตายได้อย่างไร เพียงแต่ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อพระวงศ์ พระชายาเอกและราชบุตรเขยย่อมต้องมาจากตระกูลสูงศักดิ์หรือไม่ก็ตระกูลขุนนางขั้นสูง ถึงจะบังคับตรง ๆไม่ได้ แต่สามารถเปิดโอกาสให้องค์หญิงและองค์ชายได้เจอเหล่าบุตรหลานขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์ได้
เพราะคำขอของฮองเฮาพระองค์ก่อนทำให้ตอนนี้เหล่าองค์ชายรวมถึงองค์หญิงเหยาลี่เซียนที่ถึงวัยแต่งงานยังไม่ยอมที่จะเลือกคู่ครองของตน ทำให้ไทเฮาและหลัวฮองเฮาวิตกกังวล จึงได้ขอให้ฮ่องเต้จัดงานเลี้ยงฉลองครั้งนี้โดยแยกระหว่างเหล่าขุนนางที่ออกเรือนแล้ว กับเหล่าบุรุษสตรีที่ยังไม่ออกเรือนให้แยกกันฉลอง
ถึงปกติไทเฮาและหลัวฮองเฮาจะมีการจัดงานเลี้ยงชมบุปผาเพื่อให้องค์ชายทั้งสามและองค์หญิงเหยาลี่เซียนได้พบเจอกับเหล่าลูกหลานของบรรดาขุนนางอยู่แล้ว แต่เหล่าองค์ชายทั้งหลายก็มักมีข้ออ้างไม่ยอมมาร่วมงานเลี้ยงอยู่ร่ำไป แต่งานเลี้ยงครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เพราะองค์ชายทั้งสามไม่อาจปฏิเสธไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ได้ และยังมีลูกหลานตระกูลขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์หลายคนที่อยู่ห่างไกลมาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย จึงไม่เหมือนงานเลี้ยงครั้งอื่น ๆที่จัดขึ้น
แน่นอนเรื่องที่ใช้งานเลี้ยงในครั้งนี้เพื่อดูตัวบุตรสาวบุตรชายของเหล่าขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์เพื่อมาเกี่ยวดองกับราชวงศ์ฟางหนิงหลินย่อมรู้อยู่ก่อนแล้ว เพราะนางคือสหายคนสนิทขององค์หญิงเหยาลี่เซียน พระธิดาเพียงองค์เดียวของฮ่องเต้กับฮองเฮาองค์ปัจจุบัน เพราะเป็นองค์หญิงเพียงพระองค์เดียวจึงถูกตามใจจากฮ่องเต้และหลัวฮองเฮาจนใคร ๆก็ล้วนต้องเกรงกลัวนาง
ความจริงงานเลี้ยงในครั้งนี้ฟางหนิงหลินตั้งหน้าตั้งตาคอยมาตั้งแต่รู้ข่าวจากเหยาลี่เซียน ไม่ว่าจะเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับนางล้วนสั่งทำใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เป็นที่โดดเด่น แต่ไม่ใช่เพื่อให้ใคร ๆหันมาสนใจนาง เพราะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่นางอยากให้เขาหันมามอง นั่นก็คือเหยาหวังเหว่ย
เหยาหวังเหว่ยเป็นพระโอรสองค์รองของฮ่องเต้ที่เกิดจากฮองเฮาพระองค์ก่อนที่สวรรคตไปแล้ว หลังจากชนะสงครามครั้งนี้ก็ได้แต่งตั้งเป็นชินอ๋อง ความจริงแล้วมีขุนนางมากมายที่สนับสนุนให้เขาเป็นไท่จื่อ[1]แต่เขากลับปฏิเสธ ทำให้เหยาซีฮันพระโอรสองค์โตของฮ่องเต้ที่เกิดจากหลัวฮองเฮาได้เป็นองค์รัชทายาท
เมื่อฟางหนิงหลินเดินเข้ามาในงานนางก็ตกเป็นเป้าสายตาของบุรุษหลายคน ชุดสีชมพูอ่อนแสนหวานชายกระโปรงปักลายผีเสื้อหลากสีสันเมื่อยามเดินดูราวผีเสื้อขยับปีกโบยบิน ชุดตัดเย็บเข้ารูปพอดีตัวเผยให้เห็นสัดส่วนของสตรีที่ถึงวัยออกเรือนอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากอมชมพูพวงแก้มแต่งแต้มด้วยสีชมพูจาง ๆดูเป็นธรรมชาติ ไม่เพียงบุรุษที่หันมามอง แม้แต่สตรีด้วยกันก็ยังต้องเหลียว เพราะวันนี้นางดูอ่อนหวานละมุนน่าทะนุถนอมต่างจากปกติที่จะแต่งตัวด้วยสีสันฉูดฉาด
ความจริงมีบุรุษมากมายที่หมายอยากเกี่ยวดองกับฟางหนิงหลินเพราะไม่ว่าจะเป็นหน้าตาที่ไม่เป็นรองสตรีใดในเมืองหลวง ฐานะทางบ้านของนางก็ถือว่าเป็นฐานอำนาจที่มั่นคงมากทีเดียว เพราะบิดาของนางฟางรั่วซานเป็นแม่ทัพผู้บัญชาการใหญ่รักษาเมืองหลวง ส่วนท่านตาเป็นราชครู และยังมีท่านลุงเป็นเสนาบดีกรมคลังอีกด้วย
แต่ที่ไม่มีบุรุษหนุ่มผู้ใดเกี้ยวพาราสีนางนั้น เป็นเพราะนางแสดงออกและเอ่ยอย่างชัดเจนว่านางชื่นชอบเหยาหวังเหว่ย จึงไม่มีผู้ใดคิดจะเชื่อมสัมพันธ์กับนาง ทุกคนทำได้เพียงแต่มองนางยามที่นางเผยตัวในสถานที่ต่าง ๆเท่านั้น
