บทที่ 4 ปากของมึงเป็นของกู
หลังจากที่ไอ้มาร์ครถเลี้ยวเข้ามาในอาณาเขตที่จะเรียกมันว่าบ้านได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะมันใหญ่จนเกินกว่าคำนิยามของบ้าน มันน่าจะเรียกว่าคฤหาสน์เลยด้วยซ้ำ ลูกน้องของไอ้มาร์คที่มีเยอะกว่าฝูงยุงต่างพากันรุมเข้ามายืนต้อนรับการกลับมาของเจ้านาย
ถึงตรงนี้ผมเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าเงินห้าแสนสำหรับมันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากๆ มิน่าคนอย่างมันเลยไม่ได้แยแสอะไรกับเงินในซองสีน้ำตาลที่ผมเฝ้าหวงนักหวงหนา
“มึงจะยืนค้างตรงนั้นอีกนานไหม ตามมาเร็วๆ” ผมรีบเดินตามมันเข้าบ้านไปตามที่มันสั่ง ก่อนที่มันจะนั่งลงบนโซฟาที่ตัวใหญ่มาก ผมที่ยังคงตื่นเต้นกับสถานที่ใหม่ๆ ก็เลยเผลอแอบมองรอบๆ สิ่งที่มันเรียกว่าบ้านจนลืมไปแล้วว่าผมมาที่นี่ในฐานะอะไร
“เมื่อไหร่จะนั่ง? มึงจะยืนค้ำหัวกูอีกนานไหม?” ผมได้แต่นึกหมั่นไส้ในโชคชะตาของตัวเองที่ต้องมาอยู่ใกล้ๆ กับคนหยาบคายแบบนี้ แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้ในเมื่อมันให้นั่งผมก็เลยนั่งลงกับพื้นที่ถูกปูพรมมาอย่างดี ก่อนที่สายตาคมของมันจะมองมาที่ผมแบบหาเรื่องอีกครั้ง
“กูสั่งให้มึงนั่งลงกับพื้นเหรอ มึงมาที่นี่ในฐานะเด็กของกูนะ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี่!!” ทันทีที่มันพูดจบมันก็โน้มตัวมาหาผมทำให้นั่นแหละผมถึงต้องลุกขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
“มึงมานั่งข้างๆ กูนี่ เร็ว!” มันตบมือลงตรงที่ว่างข้างๆ ตัว เป็นคำสั่งที่ผมต้องปฏิบัติตาม ก่อนที่ผมจะค่อยๆ นั่งลงไปอย่างหวาดๆ เพราะกลัวว่าจะเจอเหตุการณ์เหมือนบนรถอีก แถมตอนนี้ยังอยู่ต่อหน้าลูกน้องมันอีกเป็นสิบด้วย
“ลืมเอาปากลงมาจากรถหรือไง กูเห็นมึงเงียบมาตั้งแต่เข้าบ้านล่ะ นี่กูต้องการเด็กที่คอยเอาใจนะไม่ใช่ต้องการหุ่นยนต์”
“ครับ” ผมตอบมันไปให้รู้ว่าผมมีปากแต่ไม่อยากจะเสวนาอะไรกับมัน
“มาร์คขา~” เสียงลากยาวของผู้หญิงหน้าตาดีแต่ที่ใส่ชุดมาซิ มันเล่นเอาพวกลูกน้องของไอ้มาร์คเกือบจะสำลักน้ำลายตัวเอง ก่อนที่เธอจะวางก้นอันอวบอัดนั่งลงบนตักของมาเฟีย แล้วก็บดเบียดก้นตัวเองเข้ากับกลางเป้าของมัน
ผมขยับตัวลุกขึ้นไปนั่งที่โซฟาอีกตัวเพราะดูเหมือนว่าตอนนี้ผมกำลังจะกลายเป็นก้างขวางคอของเธอ หลังจากที่เธอตวัดสายตาคมมองหน้าผมแบบไม่เป็นมิตร ซึ่งถ้าผมจะอยู่ที่นี่อย่างสงบผมไม่ควรเป็นศัตรูกับใครอีก
“ว่าไงครับมาร์กี้” เสียงไอ้มาร์คเปลี่ยนไปไม่ดุเหมือนคุยกับผมเลยสักนิด แต่นั่นก็พอเข้าใจได้ว่าผมเป็นแค่ตัวประกันที่เอาไว้ขัดดอกเท่านั้น
ไอ้มาร์คเอาเคราสากของมันสีเข้าไปที่คอขาวๆ ของเธอจนตอนนี้เธอถึงกับตัวสั่นพราว พร้อมกับมือหนาที่ล้วงเข้าไปใต้เสื้อยืดตัวเล็กที่เหมือนใส่ไว้ให้ดันอะไรๆ ให้ดูใหญ่เกินความจริง ว่าแต่มันจะมีอะไรกันกลางคฤหาสน์แบบนี้เลยเหรอ
“ขอโทษนะ แล้วจะให้ผมไปนอนที่ไหน” ผมพูดอะไรผิดไปเหรอ เพราะผมเห็นหน้าของลูกน้องมันถึงกับอ้าปากเหวอเพราะคำพูดเพียงประโยคเดียวของผม
มันมองสายตาดุมาทางผมแบบชนิดที่เรียกว่าแค่มองเท่านั้นขนของผมก็ลุกเกรียวขึ้นไปทั้งตัว แต่ใบหน้าที่มองนั้นก็ถูกมือเรียวเล็กจับให้หันไปมองที่เธออีกครั้ง
“แล้วนี่คือใครคะมาร์ค ตอนแรกมาร์กี้ก็นึกว่ามาร์คพาผู้หญิงที่ไหนเข้าบ้านซะอีก เมื่อกี้มาร์กี้ยังแอบหึงอยู่เลยนะคะ” เธอพูดเชิดหน้าเชิดตาแบบอ้อนๆ ก่อนที่จะต้องหยุดพูดไปเพราะมือหนาที่รุกเข้าบีบที่หน้าอกนั้นทำให้เธอเคลิ้ม
“ไม่มีอะไรหรอกครับว่าแต่เดี๋ยวมาร์กี้ไปรอที่ห้องก่อนนะ เดี๋ยวผมขอจัดการธุระทางนี้ก่อนครับ” มันพรมจูบลงไปตามซอกคอกับหลังจนหญิงสาวถึงกับแอ่นตัวออกเพราะความเสียว ก่อนจะลุกขึ้นมาขยับกระโปรงยีนส์ตัวสั้นเล็กน้อยให้เข้าทีโดยไม่ลืมที่จะส่งสายตาหวานมาให้กับไอ้มาร์คที่กำลังยิ้มตอบกลับ แล้วก็เดินสะบัดก้นงอนๆ ขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอนของไอ้มาร์คอย่างคุ้นเคย
พอผู้หญิงคนนั้นไปแล้ว สายตาดุของมันก็มองเข้มมาที่ผมแบบจะกินเลือดกินเนื้อ แต่มันก็ไม่พูดอะไรกับผม แต่ว่ามันหันไปสั่งงานกับคนสนิทของตัวเองแทน
“สตีฟ เดี๋ยวแกพาหมอนี่ไปห้องนอนเล็กนะ”
“ครับนาย”
คำพูดง่ายๆ ไม่มีอะไรมากสงสัยมันจะรีบไปหาแม่มาร์กี้อะไรนั่นละมั้ง ส่วนผมเองก็ไม่ได้สนใจหรอกว่ามันจะไปหาใครที่ไหน ผมแค่อยากจะรีบไปให้พ้นๆ ตรงนี้ซักทีเพราะมันอึดอัดกับสายตาของมันที่มองยังไงไม่รู้
“ตามมา” เสียงของลูกน้องมันที่ชื่อสตีฟ เรียกให้ผมตามขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน ก่อนที่ประตูห้องที่ผมจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็เปิดออก
แล้วจินตนาการของผมที่เคยคิดไปต่างๆ นานาว่า ห้องที่มันจะให้ผมอยู่คงจะเป็นเหมือนห้องเก็บของที่มีเพียงที่มีแค่เสื่อผืนหมอนใบ หรือถ้าดีขึ้นมาหน่อยก็เป็นที่นอนปิคนิกพอให้ซุกหัวนอนไปวันๆ แต่แล้วที่อยู่ในหัวมันกลับผิดทั้งหมด เพราะไอ้คำว่าห้องนอนเล็กของมันกลับใหญ่โตกว่าบ้านของผมทั้งหลังซะอีก หรือจะเรียกได้ว่าถ้าเอาบ้านของผมทั้งหลังมาตั้งไว้ในนี้ก็ยังพอมีที่ว่างเหลือให้เดินเล่นนิดหน่อยด้วยซ้ำ
ที่นอนซึ่งน่าจะเป็นที่นอนปิกนิคก็กลับกลายเป็นเตียงขนาดคิงส์ไซส์ที่มีลายผ้าดูน่ารักเกินกว่าจะเชื่อได้ว่าที่นี่คือบ้านของมาเฟียตัวร้าย ตู้เสื้อผ้าหลายหลังที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ แทบไม่มีประโยชน์เพราะเสื้อผ้าที่ผมเอามาด้วยนั้นแค่เอาใส่ลิ้นชักก็หมดแล้ว ประตูเล็กๆ สองบานที่อยู่ในห้องด้านหนึ่งน่าจะเป็นห้องน้ำซึ่งก็ใช่อย่างที่ผมคิด แต่ความหรูหราผิดจากที่ผมคิดออกไปไกลมาก ทั้งอ่างจากุชชี่บวกกับทุกอย่างภายในถูกออกแบบมาได้อย่างลงตัว
“อ่า อืม มาร์คขา เอาเข้ามาเลยคะ มาร์กี้พร้อมแล้ว” เสียงครางอย่างเสียวซ่านเล็ดลอดออกมาจากประตูอีกบานที่ผมไม่รู้ว่ามันคือประตูอะไรแถมพยายามจะมองหาลูกบิดแต่ก็เจอแค่ปุ่มตัวเลขกับที่สแกนลายนิ้วมือเท่านั้น
“อืม ดูท่าของคุณจะหลวมเกินไปแล้วนะ เพิ่งไปโดนใครเอามาเหรอ?” คำหยาบคายที่ไอ้มาร์คพูดกับคู่ขานั้นทำเอาผมถึงกับหน้าชา หรือว่าประตูบานนี้มันจะเชื่อมไปถึงห้องนอนของไอ้มาร์คงั้นเหรอ?
ปับ ปับ!
เสียงของเนื้อกระทบกันดังลั่นมาจนถึงห้องนี้ ทำเอาผมต้องเอานิ้วมาอุดหูแล้วรีบเดินออกมาจากห้องน้ำ ก่อนจะปิดประตูเพื่อเป็นการกั้นเสียงอีกชั้นไม่ให้ข้ามมา
“พ่อครับ แม่ครับ ช่วยให้ลูกปลอดภัยจากสิ่งร้ายๆ ด้วยนะครับ”
หลังจากที่ปิดประตูห้องน้ำไปผมก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก ผมเลยใช้เวลาช่วงนี้จัดเก็บของใช้ส่วนตัวให้เรียบร้อย จนกระทั่งผมได้ยินเสียงรถของไอ้มาร์คขับออกไปจากคฤหาสน์ แต่เพื่อความชัวร์ผมเลยรีบวิ่งไปดูที่หน้าต่างว่าใช่รถของมันหรือไม่
เมื่อผมแน่ใจแล้วว่าเป็นรถของมันจริงๆ ซึ่งเหตุผลเดียวที่มันออกจากคฤหาสน์ในตอนนี้ก็คือไปส่งคู่ขานั่นเอง
เพราะฉะนั้นนี่คือโอกาสทองที่ผมจะได้ชำระล้างคราบเหงื่อและคราบคาวของมันออกจากตัว ผมจึงรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วเปิดน้ำอุ่นให้เต็มอ่างจากุชชี่ ก่อนที่จะหย่อนตัวเองลงไปในน้ำที่หมุนวนเป็นเกลียว เพราะความอุ่นสบายที่ได้รับการผ่อนคลายจนความเหนื่อยล้าทั้งตัวและหัวใจมาทั้งวันถูกทิ้งไปในสายน้ำวน ผมปรือตาหลับไปพร้อมๆ กับสายน้ำนั้น
ผมมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ปากของผมกำลังถูกอะไรบางอย่างรบกวนอยู่ จนทำให้ผมต้องลืมตาแล้วก็ต้องเบิกตาโพลงที่เห็นว่าตอนนี้หน้าของไอ้มาร์คมันกำลังลอยอยู่เหนือหน้าของผม และสิ่งที่รบกวนปากของผมจริงๆ แล้วก็คือปากของมันนั่นเอง
“อุ๊บ!” หลังจากที่รู้สึกตัวผมก็ดิ้นรนให้หลุดจากจูบนั้น จนน้ำในอ่างจากุชชี่กระจายเปียกหน้าของมันไปด้วย
“หยุดดิ้นดิวะ!!” ไอ้มาร์คถอนปากออกก่อนจะออกคำสั่งที่ผมต้องปฏิบัติตาม ซึ่งตอนนี้ตัวผมก็หยุดดิ้นแล้ว แต่หน้าอกยังคงกระเพื่อมหนักๆ เพื่อสูดเอาอากาศที่หายไปเข้าไปทดแทน ก่อนที่ผมจะหน้าวูบวาบทันทีที่เห็นว่าไอ้มาร์คมันอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า
“คะ คุณเข้ามาในนี้ได้ยังไง?”
“ที่นี่บ้านกู และกูคงไม่จำเป็นต้องขออนุญาตใคร”
“ถ้าคุณจะอาบน้ำ เดี๋ยวผมออกไปก่อนก็ได้เพราะผมอาบเสร็จแล้ว”
“หยุด! ถ้ากูไม่ได้สั่งมึงก็ห้ามไปไหน”
“แต่...” ผมทำท่าจะอ้างปากเถียงแต่ก็ต้องหยุดเมื่อเสียงที่เข้มกว่าเอ่ยออกมา
“กฎของการเป็นเด็กกูคือห้ามเถียง แค่ทำตามที่กูบอกก็พอ” พูดจบมันก็โน้มตัวลงมาใกล้ๆ จนผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่รดอยู่บนใบหน้าตัวเอง ผมที่ได้แต่หลับตาปี๋ก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งกับคำสั่งของมัน
“ลืมตามามองหน้ากู!” ผมยังคงก้มหน้าหลับตาไม่มองดูมัน
“ถ้ามึงไม่มองหน้ากู มึงก็กลับบ้านไปรับศพของไอ้ไอได้เลย” มันใช้เรื่องพี่ไอมาขู่อีกแล้ว และมันก็ได้ผลทุกที
“พอใจหรือยัง?” ผมลืมตาขึ้นก่อนที่จะเห็นว่าตอนนี้ไอ้มาร์คมันยืนกอดอกตัวตรงแล้วจ้องมาที่ผม แถมส่วนนั้นของมันก็แข็งตึงขึ้นมาแล้วด้วย
“ดีมาก จูบเมื่อกี้มึงไม่ได้เรื่อง มึงจะต้องฝึกจูบใหม่”
“ทะ ทำไมต้องฝึกจูบด้วย? ครับ”
“ถ้าไม่อยากให้พี่มึงตาย ก็ทำตามที่กูบอกซะ”
“ครับ”
“อย่างแรกมึงต้องเผยอปากขึ้นมาก่อน” เอาละซิเผยอปากคืออะไร แล้วผมจะต้องทำยังไง
“ผมทำไม่เป็น”
“อะไรวะมึงไม่เคยจูบใครเลยรึไง?” ผมได้แต่ส่ายหัวว่าไม่มี และมันก็ส่ายหัวเช่นเดียวกันแต่คงจะหมายถึงไม่ไหวมากกว่า
“มานี่มึงต้องทำปากแบบนี้” มันให้ผมเปิดปากออกเล็กน้อยพร้อมกับห้อยริมฝีปากล่างจนเห็นไรฟันเล็กๆ “อย่างงั้นแหละ เวลาที่กูจูบลงไปมึงต้องแลบลิ้นออกมาในปากกูด้วยเข้าใจไหม” ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผมจะต้องเอาลิ้นไปแตะลิ้นของมันด้วยน่าเกลียดชะมัด
“ไหนมองลองทำตามที่กูบอกซิ เร็วๆ!” มันตะคอกใส่ผมอีกแล้ว แต่เมื่อฝืนไม่ได้ผมก็ควรทำให้มันจบๆ ไปซักที ผมเลยทำตามที่มันสอนอย่างตั้งใจ
“ที่นี้ก็แลบลิ้นออกมา อย่าหลับตาแล้วมองที่กู” เสียงมันแผ่วเบาไม่ดุแล้ว หน้าคมๆ กำลังโน้มลงมาใกล้ทีละนิดจนกระทั่งริมฝีปากของมันขบเม้มลิ้นผมเอาไว้ ก่อนที่ผมจะเปิดปากออกเพราะมันออกแรงดูดริมฝีปากล่างผมจนเจ็บ
จ๊วบ จุ๊บ!
ลิ้นหนาของมันสอดเข้ามาเกี่ยวลิ้นผมที่พยายามหลบหนีแต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น ผมได้รสกลิ่นบุหรี่จางๆ ขมๆ อยู่ในปาก มันเอียงคอเล็กน้อยเพื่อปรับองศา ก่อนที่จะใช้ลิ้นหนากวาดต้อนทุกสิ่งทุกอย่างกลับไป ความเผลอไผลในรสสัมผัสที่อ่อนโยนทำให้ผมต้องตอบโต้มันกลับไป
ผมเริ่มจูบตอบมันกลับและรุกไล่ลิ้นหนานั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย จนตัวไอ้มาร์คเองยังต้องเลิกคิ้วขึ้นมาอย่างประหลาดใจ ก่อนที่มันจะเป็นคนถอนจูบออกโดยที่มีผมถึงขนาดยืดตัวตามปากของมันไปแบบไม่รู้ตัว
“ดีแล้วเด็กน้อย จำไว้นะ ว่าปากของมึงเป็นของกู”
