บทที่ 3 3
“ล้อเล่น”แก้มใสหัวเราะชอบใจออกมาเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของเพื่อน แต่อันที่จริงเธอไม่ได้พูดเล่นเลยสักนิดเธอหนีมาจริงๆ มีแค่แม่ของเธอเท่านั้นที่รู้เรื่องและช่วยปกปิดให้ที่เธอทำแบบนี้เธอก็มีเหตุผลของเธอเหมือนกัน
“เธอนี่นะล้อเล่นอยู่เรื่อย”แต่ถามว่านิสัยของอีกฝ่ายเป็นแบบนี้ดีไหมเอาจริงๆ เธอก็ชอบนะรู้สึกว่าแก้มใสเป็นคนพูดมากที่ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกรำคาญเลย ปกติถ้าเป็นคนอื่นเธอคงไม่อยู่ฟังหรอก
“เฮ้อ”
“ถอนหายใจทำไมหรือว่าเบื่อเรา”แก้มใสถามขึ้นมาทันทีเพราะกลัวว่าเพื่อนจะเบื่อตนเองเหมือนที่ใครอีกคนเคยเบื่อเธอ
“เปล่า แค่คิดอยากหางานทำน่ะ”
“ค่าใช้จ่ายไม่พอเหรอ ยืมเราไหม”
“บ้า ไม่ยืม ฉันแค่ไม่อยากรบกวนครอบครัวมาก ในเมื่ออยากมาเรียนที่นี่ก็ต้องช่วยเหลือตัวเองให้ได้ ฉ้นเลยอยากหางานทำน่ะแต่งานก็มีแค่ตอนกลางวันที่พอทำได้”
“เรื่องตารางเรียนใช่ไหม”
“อืม ปีหนึ่งเรียนหนักจะตายไปไหนจะกิจกรรมอีก”
“ก็จริง ค่อยๆ หาเดี๋ยวก็หาได้”
“อืม ขอบใจนะ”สองสาวพูดคุยกันต่อพักใหญ่ก่อนจะแยกย้ายกันอยู่ใครอยู่มัน ส่วนใหญ่น้ำหวานก็มักจะอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนก่อนนอน แก้มใสก็เล่นเกมส์ฟาร์มตามประสาของเธอ
อีกด้าน
วันนี้พวกเตชินท์นัดกันมาที่โต๊ะสนุกเกอร์ พวกเขามักจะเล่นเวลาว่าง แข่งกันขำๆ ไม่ได้จริงจังอะไร ปกติแล้วนอกจากไปที่ผับก็มีที่นี่อีกที่ที่พวกเขามา
“คืนนี้ไปต่อที่คิงบาร์ไหม”เหมันต์เอ่ยถามพร้อมกับมือที่ยกเบียร์ขึ้นมากระดกลงคอ
“คงไม่กูมีงานต้องทำต่อ”เตชินท์ตอบออกไป
“งานอะไร”
“เช็คของให้ป๊า”ครอบครองของชายหนุ่มทำธุรกิจหลายอย่างทั้งอสังหาริมทรัพย์ทั้งผลิตอะไหล่รถยนต์ ตั้งแต่ที่ขึ้นมหาลัยเตชินท์ก็เริ่มเรียนรู้งานถึงแม้เขาจะเที่ยวแต่ก็ไม่เคยลืมหน้าที่ตัวเอง
“มึงล่ะไอ้ลม”
“กูไม่ วันนี้พักพอดีแม่ให้กลับไปนอนบ้าน”
“ไอ้ลูกติดแม่”เหมันต์ว่าเพื่อนไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก
“ไม่ใช่มึงที่ติดผู้หญิง”
“หึ ให้มันติดเถอะได้ข่าวว่าพอเรียนจบมันต้องแต่งงานกับคู่หมั้นมันแล้ว”เตชินท์พูดขึ้นอย่างกวนๆ เพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้มันทำให้เหมันต์หงุดหงิดแค่ไหน
“มึงจะพูดทำไมไอ้เต นี่กูอุตส่าห์ลืมไปแล้ว”
“ลืมแล้วไงถึงเวลามึงก็ต้องแต่งไม่ใช่เหรอ ว่าแต่คู่หมั้นมึงเป็นไงบ้าง”
“ไม่รู้ไม่ได้สนใจ ป่านนี้อยู่ต่างประเทศมั้ง ผู้หญิงน่าเบื่อแบบนั้นกูไม่อยากนึกถึงหรอก”หลายปีแล้วที่เขาไม่ได้เจอหน้าผู้หญิงคนนั้น แค่นึกถึงก็ขนลุกแล้ว ท่าทีของเหมันต์ทำให้เตชินท์กับสายลมส่ายหน้าไปมาด้วยรอยยิ้มขบขัน
ชายหนุ่มทั้งสามแยกย้ายกันทางใครทางมันหลังจากไม่ได้ไปไหนกันต่อ ชีวิตของเตชินท์ก็เป็นประมาณนี้นอกจากเรียนก็ทำงานและก็ไปเที่ยวสนุกตามวัยรุ่นดีที่ครอบครัวของเขาไม่ได้ยุ่งวุ่นวายมากเพราะพวกท่านให้เขาได้ใช้ชีวิตขอแค่ไม่ทำให้พวกท่านผิดหวังก็พอ
อีกวันผ่านไป
ร่างเล็กของน้ำหวานวิ่งหน้าตั้งมาเรียนอีกวิชา วิชานี้แก้มใสไม่ได้เรียนกับเธอทำให้วันนี้คนตัวเล็กต้องมาคนเดียวแต่เพราะความลืมกลัวมาสายทำให้หญิงสาวไม่ทันได้ระวังเธอเผลอชนกับร่างใครอีกคนจนเกิดเสียงดังตุ๊บ ก่อนที่หญิงสาวจะเซล้มไปทับกับคนดังกล่าว
“เฮ้ย เดินยังไงว่ะ”
“ขอโทษค่ะ ขอโทษนะคะ”เธอรู้ว่าตัวเองรีบไปหน่อยเลยไม่ได้ระวังแบบนี้ หญิงสาวจึงรีบเอ่ยขอโทษออกไปแต่พอเธอเงยหน้าขึ้นมา ชายหนุ่มตรงหน้าที่ดูจะหงุดหงิดพอสมควรก็ชะงักไปเล็กน้อย เมื่อเห็นดวงตาของคนตัวเล็กที่สบเข้ากับเขาพอดี
“ไอ้เตเป็นไงบ้างว่ะ”เหมันต์ถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ฉากโรแมนติกเหมือนที่ในละครบอกเลยสักนิดเพราะต่างคนน่าจะเจ็บพอสมควร
“ไม่เป็นไร”เตชินท์ตอบเพื่อนก่อนจะลุกขึ้น น้ำหวานเองก็เหมือนกัน เธอยกมือขอโทษอีกฝ่ายเพราะรู้สึกผิดจริงๆ
“เธอไม่เป็นไรนะ”
“เอ่อ ไม่ค่ะ ขอโทษอีกครั้งนะคะถ้าไม่มีอะไรแล้วขอตัวก่อนนะคะพอดีฉันกำลังรีบ”
“อืม”เตชินท์พยักหน้าทำให้น้ำหวานรีบเดินต่อ เธอไม่ได้วิ่งเหมือนตอนแรกเพราะรู้สึกเจ็บข้อเท้าเล็กน้อย คนตัวเล็กเอาแต่บ่นตัวเองที่รีบจนเกิดเรื่องแบบนี้ ไม่น่านอนดึกเลยมัวแต่คิดมากเรื่องหางานจนตื่นสาย
“มองอะไรว่ะ?”สายตาของเตชินท์ที่มองตามแผ่นหลังคนตัวเล็กทำให้เหมันต์เอ่ยถามอย่างจับผิด สายตาเจ้าเล่ห์ที่มองเพื่อนมันทำให้รู้กันว่าหมายถึงอะไร
“ตกหลุมรักรึไง”นานๆ จะเห็นเตชินท์มองตามสาวแบบนี้ ขนาดสายลมยังรู้สึกสงสัยไม่ต่างกันแต่แค่อีกฝ่ายไม่ค่อยพูดมากปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเหมันต์แทน
“หลุมรักพ่อง!”
“อ้าวก็เห็นมอง”
“มองไปงั้น จืดๆ แบบนั้นไม่ใช่สเปก”
“ครับ เชื่อครับผม”
“กวนตีน”เตชินท์นึกหมั่นไส้คำพูดของเพื่อนจึงด่ากลับไป พวกเขาพูดคุยกันแบบนี้เป็นประจำอยู่แล้วอาจจะมีคำหยาบกันบ้างแต่ก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรกันเพราะรู้จักกันมานาน เป็นเพื่อนกันจนรู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว
