บทที่ 3 ระดับหัวหน้า

หญิงสาวเจ้าของร่างถัดไปทางอวบอั๋นมีส่วนเว้าส่วนโค้ง ผุดลุกจากที่นั่งแทบจะดิ้นพล่าน หลังรู้ข่าวสารจากปลายสายเกี่ยวกับงานที่ตนทำพลาด

(แกน่ะโง่ ไม่รู้จะพูดยังไง นั่นน่ะระดับหัวหน้าเชียวนะ)

“ใครจะไปรู้ล่ะ ฉันก็นึกว่าแขกรอบนี้จะเป็นพวกโจรธรรมดาๆ นักเลงปลายแถวเหมือนคราวก่อนซะอีก”

(ก็เลยตัดสินใจชวดงานเอง โดยไม่บอกฉัน? แถมคนไปแทนกลายเป็นนังชงโคอีก ถ้ามันรู้ว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากแก หึ มันไม่เอาแกไว้แน่)

เจซียืนกำมือแน่นให้กับคำขู่ของพี่เลี้ยง ที่โทรมาต่อว่าหล่อนฉอดๆหลังรู้ข่าว ก่อนเบิกตาโพลงภายหลัง

“พี่รู้ได้ไง? ว่าคืนนั้นคนที่ไปแทนเป็นชงโค”

(หนอย ทำไมฉันจะไม่รู้ยะ คนที่อวดดีคิดจะทำเรื่องชั่วๆแต่โง่เง่า ถ้าไม่ใช่แกจะมีใครอีก แกร่วมมือกับใครเขาบ้างล่ะ)

“โห จะด่ากันไปถึงไหนเนี่ยพี่ ช่างฉันเถอะน่า.. แขกคนนั้นจะวิเศษขนาดไหนกันเชียว ปกติคนรวยเหมือนมันฉันก็เกี่ยวมาได้ หลายคนเลยด้วย”

(โธ่..นังซี นังบ้า! นั่นไม่ใช่แค่คนรวยนะโว้ย แต่เขาเป็นถึงอภิมหาเศรษฐี)

“หา?”

(เออ! แกฟังไม่ผิดหรอก เขามีทั้งเงินทั้งอำนาจชนิดที่ว่าตายไปแล้วสิบรุ่น รุ่นที่สิบเอ็ดก็มีใช้ไม่หมด ถ้าเมื่อคืนแกทำเขาติดใจ จนเขาเรียกใช้แกตลอดได้ละก็ เจซีเอ้ยยย ตกถังข้าวสารไม่ต้องมายืนร้องเพลงให้มันเมื่อยกรามอยู่แบบนี้)

อยู่ๆก็รู้สึกหงุดหงิดเพราะความเสียดายขึ้นมา เธอก็แค่ต้องการเอาตัวรอด ไม่อยากถูกตรึงอยู่บนเตียงนอนกับคนกลิ่นตัวสาบราวกับไม่ได้อาบน้ำมาเป็นปี แถมปากเหม็นราวกับชีวิตนี้ไม่เคยพบเจอแปรงสีฟันแบบที่ผ่านมาอีก จึงวางแผนปลอมตัวเป็นพี่เลี้ยงโทรไปหาลูกน้องของแขกคนนั้น และหลอกว่าชงโคคือตัวเองที่กำลังจะหนีไป ความเกรงกลัวทำงานพลาดจึงบังคับพวกเขาให้ฉุดอุ้มตัวเธอซึ่งไม่ใช่เจซีมาปรนเปรอนาย เพียงเพราะนายต้องการใครสักคนที่สวยเปล่งปลั่ง เป็นตัวเต็งของที่นั่น แน่นอนคนที่รู้ประวัติของแขกพอสังเขปอย่างพี่เลี้ยงจึงเลือกคนของตัวเอง คิดการณ์ไกลไปถึงตำแหน่งมาดามเพื่อตนนั้นจะได้พึ่งได้ นั่นก็คือเจซี.. ทว่าหล่อนกลับคิดไปไกลและเข้าใจไปเองจนกลายเป็นเรื่อง

“เราควรทำยังไงดี?”

(เราเหรอ? ทีอย่างนี้เราเชียวนะ)

“แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ เรื่องมันเกิดไปแล้ว ขอโทษ”

ขณะหล่อนหน้าซีด ปลายสายกลับเงียบไปอึดใจหนึ่ง ใช้เวลานั้นครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ผ่านมา จะจัดการอย่างไรหากเรื่องแดงขึ้นจนเจ้าตัวรู้ เพราะทราบดีอย่างชงโค โกรธแล้วจะกัดไม่ปล่อย หล่อนคงจะสืบสาวจนพบต้นพบตอ

(แกน่ะ คงไม่กลัวนังชงโคมันหรอกใช่ไหม)

“ไม่นะ อย่างนังชงโคน่ะเหรอจะกล้าทำฉัน... หึ มันคงอายเกินกว่าที่จะพูดให้ใครฟังได้แหละ ที่กลัว.. กลัวเศรษฐีคนนั้นจะหลุดมือไปมากกว่า”

(เออ เลวระยำไม่มีใครเกินจริงๆ)

เจซีปริยิ้ม ขณะได้รับคำชมจากปลายสาย หากต้องหุบยิ้มทันควัน เมื่อประโยคช่วงท้ายตามมา

(แต่ยังโง่ดักดานเหมือนเดิม ฉันไม่ได้หมายถึงมันมาตบแก อย่างแกเรื่องพละกำลังน่ะ สู้มันไม่ได้อยู่แล้วล่ะ)

“พี่อะ!”

(ที่ฉันหมายถึง ฉันกลัวว่ามันจะไปทำให้เขาติดใจจนต้องตามหามัน)

“อย่างชงโคอะนะ?”

(เออ อย่างมันนั่นล่ะ มันสวยกว่าแก! ยอมรับซะ)

“อร๊ายยย! พี่!”

(แถมนิ่งสุขุมกว่าแกด้วย)

ปลายสายแค่นหัวเราะ น้ำเสียงขบขันแทงใจดำ และหล่อนจะยิ่งกรีดร้อง ถ้าบทสนทนาเหล่านี้เกิดขึ้นตรงหน้า ไม่ได้ผ่านลำโพงโทรศัพท์ เพราะหล่อนจะได้เห็นคู่สนทนาของหล่อนสั่นหน้าด้วย เป็นการส่ายหน้าที่ดูแคลนบวกเอือมระอาสุดๆ

บทสนทนายังมีต่อเนื่องไปเรื่อยๆ คราวนี้เป็นเรื่องอื่นซึ่งเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันกับเรื่องนี้ เพียงแต่ไม่มีการแขวะหรือก่นด่า มากกว่าการปรึกษาหารือเส้นทางเดิน เส้นทางที่เต็มไปด้วยความโลภ อยากสบายจนกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อนเพราะตนบ้าง

จนกระทั่ง..

มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา จากการมาเยือนของใครสักคน เจซีสะบัดหน้าไปทางประตูบานนั้น

“พี่ มีคนมา”

(ใคร ปกติห้องแกมีคนอื่นรู้ด้วยเหรอ นอกจากฉัน?)

“ก็นั่นน่ะสิ พี่อย่าเพิ่งวางนะ”

ก่อนเสียงสุดท้ายจะกลายเป็นเสียงกระซิบ และลุกย่องเดินไป พลางโน้มตัวมองผ่านตาแมว

(ใคร? รู้รึยัง)

“ไม่รู้อะพี่ ฉันไม่รู้จัก”

(บอกลักษณะเขามาหน่อย)

“แต่งตัวสุภาพ ใส่สูท ยืนมือกุมต่ำ”

(มีสัญลักษณ์อะไรบนตัวเขาไหม)

ความเรื่องมากของคนปลายสาย เริ่มทำให้เจซีนั้นหงุดหงิด ทว่าทำได้แค่เบ้ปากเหลืบตามองบนไม่สามรถกระฟัดกระเฟียดออกมาได้ ก่อนจะเพ่งเล็งผ่านตาแมวอีกครั้ง คนแปลกหน้าข้างนอกห้องเอาแต่ยืนนิ่งไม่ไหวติง จนหล่อนเริ่มครางงึมในลำคอ

“ไม่นะ ไม่เห็นมี เอ๊ะ...เดี๋ยวนะ” ทว่าจังหวะที่เขาขยับ หันหน้าไปทางอื่นราวกับต้องการสำรวจรอบๆระหว่างรอให้ประตูเปิด นาทีนั้นเจซีถึงกับชะงัก ขมวดคิ้วเข้าหากันเป็นปม “เหมือนจะมีรอยสักตรงลำคอ”

(รอยสัก? รอยสักอะไร แกมองเห็นไหม)

“เป็นรอยสัก นกอะไรสักอย่าง”

(ฟีนิกซ์?)

“น่าจะ..”

(ว้าว! เจซี.. เจซีแกเปิดประตูเลย)

เปลี่ยนเป็นเบิกตาโพลงก็ตอนปลายสายมีท่าทางระริกระรี้

“อะไรนะ?”

(เปิดเลย ฉันบอกให้เปิด นั่นน่ะคนของเขา)

“หาา”

(เจซีเอ๊ย เขามาตามหาแกแน่ๆเลย ถ้าเป็นแบบนั้นจริง อร๊ายยย ฉันไม่อยากจะคิด)

“งั้นเปิดเลยนะ”

(เปิดสิ แกรออะไรอีกล่ะ)

สิ้นสุดคำสั่งของปลายสาย เจซีไม่รอช้าที่จะเปิด

ผ่าง!

ประตูที่ว่าถูกดึงเข้ามา เผยบุคคลปริศนายืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า หล่อนแสร้งทำหน้าเป็นงุนงงรอให้ฝ่ายนั้นพูดก่อน

“เอ่อ.. คุณเจซีใช่ไหมครับ ขอโทษที่มารบกวน นายผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับคุณ ช่วยไปกับผมหน่อย”

แม้จะตงิดใจในตอนแรก กับลักษณะท่าทางที่ไม่คุ้น และเงียบไปอึดใจหนึ่งของร่างบางตรงหน้าว่าเป็นคนเดียวกันเมื่อคืนจริงไหม เขากลับเลือกที่จะมองข้าม เนื่องจากเจซีทำสีหน้ากดดันเขา

“นาย..”

ณ จุดนี้หล่อนไม่แสร้ง แกล้งทำเป็นไม่รู้จัก ทว่าคนในสายที่แนบหูกลับส่งสัญญาณด้วยการกระแอมกระไอ จนหล่อนต้องยิ้มแฉ่ง

“อ่อนายคนเมื่อคืน ได้สิ รอฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าสักครู่นะคะ”

ก่อนจะใช้โอกาสนั้นหมุนตัวกลับมาพลางปิดประตู

“พี่ ฉันต้องไปกับเขาเหรอ?”

(เออสิ ระดับนั้นใครเขาบ้าจะมาหาแกถึงที่ล่ะ ถ้าไม่ใช่คนพิเศษ ว่าแต่เกือบไปอีกแล้วนะ! )

“ก็ฉัน..”

(ไม่ต้องพูดแล้ว รีบแต่งตัวแล้วไปกับเขาซะ ฉันจะรอฟังข่าว แล้วอย่าทำพังอีกล่ะ)

“อือ..”

ใช้เวลาราวสองชั่วโมงก็มาถึง เนื่องจากเขาสั่งลูกน้องให้รับหล่อนมายังที่พักของตน ไม่ใช่ห้องเช่าหรูหราละแวกเดียวกันกับสถานที่ที่พวกหล่อนทำงานกลางคืนและเขาไปดื่มสังสรรค์ จึงดูห่างไกลเป็นพิเศษ

เจซีหันซ้ายหันขวาระหว่างเดินตามแผ่นหลังกว้าง เริ่มประหม่าก็ตอนเจอความมืด สถานที่ที่ไม่คุ้นชิน และเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องก็ตอนได้กลิ่นน้ำหอมแปลกๆผ่านเครื่องปรับอากาศ กลิ่นพิศวงจนดูลึกลับ บวกกับน่าค้นหา ทำให้หล่อนประหม่าจนก้าวขาไม่ออก บรรยากาศรอบๆอาจแสดงให้เห็นถึงความเป็นอภิมหาเศรษฐีอย่างที่พี่สาวหล่อนว่าก็จริง แต่เหนือจากสิ่งนั้นเหมือนแฝงบางอย่างซ่อนอยู่ อย่างเช่นความลับ ความป่าเถื่อน และทรงอำนาจ คล้ายกับมาเฟีย..

ใช่ สัญชาตญาณหล่อนบอกแบบนั้น

“นายครับ..”

“มากันแล้วหรือ เข้ามาสิ”

ที่นี่คือ...ดงมาเฟีย

บทก่อนหน้า
บทถัดไป