บทที่ 2 คนละฟากฟ้า (50%)
“ป๊ะป๋าให้แก้มไปเถอะนะคะ นะ…นะ…คุณป๋าสุดหล่อ” สาวน้อยเกาะแขนบิดาแน่น ปากก็พร่ำออดอ้อนออเซาะ แนบแก้มถูไถลำแขนแกร่ง พร้อมเงยหน้าทำตาปริบๆ ให้น่าเห็นใจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ กิริยาคล้ายแมวน้อยที่กำลังอ้อนเจ้านายของมันอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่ไปไม่ได้เหรอลูก หนูเป็นผู้หญิง ป๋าไม่อยากให้ไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียวเลย” ใจคนเป็นพ่อพลันอ่อนยวบ เพียงได้ยินเสียงอ่อนเสียงหวานของผู้ที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ แจ้งความประสงค์ชัดเจนว่าต้องการห่างจากอกตนเพื่อไปทำงานแดนไกล จะให้เขาปล่อยเธอไปได้ยังไง เลี้ยงดูมาตลอดยี่สิบเอ็ดปี ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ถ้าไปอยู่ไกลหูไกลตาแล้วใครจะดูแล
“แต่แก้มอยากไปทำงานที่ตัวเองใฝ่ฝันนี่คะ นะคะ…ได้โปรดให้ลูกไปเถอะนะคะ” หญิงสาวยื่นศีรษะไปซบอกอุ่นของบิดาพร้อมเอ่ยเสียงหวาน เพียงหวังว่าท่านจะยอมใจอ่อนและเห็นใจเธอบ้าง
“ถ้าหนูไป แล้วป๋าจะอยู่กับใครล่ะลูก?” ผู้เป็นพ่อทำหน้าบึ้งตึงด้วยความไม่ชอบใจที่ครั้งนี้ดูท่าว่าลูกจะไม่ยอมเปลี่ยนใจเป็นแน่แท้
“ป๊ะป๋าก็หาสาวมาอยู่ด้วยสักคนสิคะ จะได้ไม่เหงา…อิอิ” บุปผชาติพูดติดตลก เพราะรู้ดีว่าผู้เป็นบิดารักมารดาของเธอมากแค่ไหน พอแม่จากไปท่านก็ครองตัวเป็นโสดมาตลอด ไม่เคยข้องแวะกับหญิงใด สิ่งที่ท่านทำก็มีเพียงแค่การเอาใจใส่ดูแลเธอและบริหารธุรกิจให้เจริญรุ่งเรืองมาจนถึงทุกวันนี้ ทุกอย่างล้วนมาจากน้ำพักน้ำแรงของท่านทั้งสิ้น
“ลูกสาวคนเดียวป๋าเลี้ยงได้ ธุรกิจของเราก็มีเยอะแยะ แล้วทำไมหนูต้องไปทำงานให้เหนื่อยด้วยลูก ป๋าไม่เข้าใจเลยจริงๆ” นายบริรักษ์ยังคงหาข้อโต้แย้งมาทำให้ลูกสาวล้มเลิกความตั้งใจ
“แต่ลูกอยากทำในสิ่งที่ตัวเองรักนี่คะ” เด็กดื้อยังคงดึงดันที่จะทำตามใจปรารถนาให้ได้ ไม่ว่าบิดาจะห้ามปรามยังไงสาวน้อยก็ยังดันทุรังอยู่วันยังค่ำ บุปผชาติจะทำอย่างนี้จนกว่าพ่อจะใจอ่อนและอนุญาตให้ไปนั่นแหละ
“แล้วธุรกิจของเราใครจะสืบทอดล่ะ เมื่อไม่มีป๋าแล้ว” นายบริรักษ์เอ่ยเสียงแผ่ว สีหน้าดูสลดเมื่อคิดว่าบริษัทนำเข้ายานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สิ่งที่ตัวเองสร้างมากับมือจะล่มสลายไปพร้อมกับลมหายใจ เพราะลูกสาวไม่สนใจที่จะสืบทอดกิจการ
“คุณป๋าอย่าพูดอย่างนั้นสิคะ คุณป๋าต้องอยู่กับหนูไปนานๆ เป็นร้อยๆ ปีเลยค่ะ” สาวน้อยเหลือบเห็นแววตาหม่นแสงของบิดาก็รีบโอบกอดร่างหนาไว้แน่น พร้อมซบอกอุ่น แล้วพูดปลอบใจด้วยเสียงอ่อนหวาน
“ไม่ต้องมาอ้อนซะให้ยาก ยังไงป๋าก็ไม่ให้ไปหรอก หนูต้องอยู่บริหารงานที่บริษัทช่วยป๋า” เป็นตายร้ายดียังไงนายบริรักษ์ก็ไม่มีวันยอมให้ลูกสาวไปทำงานที่ฝรั่งเศสแน่ เพราะลำพังเงินรายได้ของเขาปีๆ หนึ่งบุปผชาติก็ใช้ได้อย่างสุขสบายไปทั้งชาติ โดยไม่ต้องไปตรากตรำลำบากในต่างแดน
“ให้ลูกไปหาประสบการณ์เถอะนะคะ ลูกสัญญาว่าจะไปเพียงแค่สองปี แล้วจะกลับมาบริหารงานช่วยป๊ะป๋าอย่างแน่นอนค่ะ…นะคะ” ใช่ว่าสาวเจ้าจะไม่ละอายใจที่จะต้องไปจากบิดา แต่เธอต้องการทำฝันของตัวเองให้เป็นจริงเสียก่อน อยากนำความรู้ความสามารถไปทำในสิ่งที่ตนใฝ่ฝัน แล้วเมื่อถึงวันที่ได้รู้ทุกอย่างตามที่ต้องการ เธอจะกลับมาบริหารงานช่วยท่านอย่างแน่นอน
“งั้นก็ได้ลูก แต่หนูต้องสัญญากับป๋าว่าจะไปอยู่ที่ฝรั่งเศสแค่สองปีนะ” สุดท้ายประมุขของบ้านก็ต้องยอมลงให้ลูกสาวสุดที่รักอยู่ดี เพราะเธอช่างออดอ้อนออเซาะเก่งนักนี่ เพียงเห็นน้ำตาปริ่มขอบตาผู้เป็นพ่อก็ไม่อยากจะขัดใจเสียแล้ว
“ค่ะลูกสัญญา ขอบคุณป๊ะป๋ามากนะคะ รักป๊ะป๋าที่สุดในโลกเลย” ขาดคำเจ้าของร่างอ้อนแอ้นก็กระโดดกอดคอบิดา แล้วหอมแก้มที่เริ่มเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลา แววตาเป็นประกายพราวระยับ บ่งบอกได้ดีว่าเธอมีความสุขและยินดีมากแค่ไหน
“ยังไงป๋าก็ยังเป็นห่วงหนูอยู่ดี ให้บอดี้การ์ดไปด้วยดีกว่านะลูก” นายบริรักษ์ยังไม่วางใจซะทีเดียว จึงเสนอทางที่จะทำให้ตัวเองบรรเทาความเป็นห่วงลงบ้าง
“ลุงหนวดน่ะเหรอคะ ไม่เอาหรอก ให้เขาอยู่ดูแลป๊ะป๋าเถอะ ลูกสามารถดูแลตัวเองได้ ป๊ะป๋าอย่าคิดมากไปเลย เชื่อมือด็อกเตอร์บุปผชาติเถอะค่ะ” ว่าพลางลูบไล้ตรงตำแหน่งหัวใจอันอบอุ่นของบิดาเพื่อให้ท่านคลายความกังวล
“งั้นก็ได้ ครั้งนี้ป๋าจะยอมให้แก้มไปทำตามฝัน แต่ถ้าหนูอยู่ไม่ได้ต้องโทรมาบอกนะ ป๋าจะได้รีบไปรับทันที โอเคไหม?” สุดท้ายคนเป็นพ่อก็ต้องยอมจำนน ด้วยรักถึงได้ยอมตามใจ และอีกอย่างเขาก็มั่นใจว่าลูกจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับตน เพราะบุปผชาติไม่เคยมีนิสัยโกหก
“ด้าย…เลยค่ะ” สาวน้อยลากเสียงหยอกล้อบิดาอย่างน่ารักน่าชัง ยิ้มกว้างจนตาหยีทำเอาผู้เป็นพ่อต้องดึงแก้มใสๆ ด้วยความมันเขี้ยว ซึ่งนิสัยน่ารัก ชอบหยอกล้อ และทะเล้นนิดๆ ที่ได้มาจากผู้เป็นมารดาที่ล่วงลับไปแล้วมาเต็มๆ เป็นสิ่งที่เธอจะไม่แสดงออกกับใคร ยกเว้นบิดาและคนรับใช้เก่าแก่ในบ้านเท่านั้น
“ดีมากจ้ะ” ผู้เป็นพ่อยิ้มในหน้าด้วยความสมใจ
“วันนี้คุณป๋าหล๊อหล่อ” ลำแขนเสลาสวมกอดเอวของอีกฝ่าย แล้วพูดเอาใจด้วยท่าทางน่ารักน่าชัง
“แล้ววันอื่นป๋าไม่หล่อรึไงฮึยัยแก้ม” ครั้นอดใจไม่ไหวกับความช่างอ้อนนายบริรักษ์ก็บีบสันจมูกเชิดรั้นด้วยความรักและเอ็นดู
“หล่อค่ะ ใครจะหล่อเหลาเอาการสู้คุณบริรักษ์ ดิลกรัตนกุล ได้ล่ะค่ะ ไม่มี๊…ไม่มี แต่วันนี้ใจคุณป๋าหล่อม๊ากมากค่ะ” ลูกสาวรีบประจบเอาใจยกใหญ่ด้วยดีใจที่พ่อยอมให้ไปทำตามฝัน
“ฮ่าๆๆ ช่างประจบจริงนะเรา” เสียงกังวานหัวเราะให้กับคำพูดอันแสนฉอเลาะของบุตรสาว
“อ้าว…ก็หนูเป็นลูกของป๊ะป๋ากับมาม๊านี่คะ ก็ต้องช่างพูดเหมือนป๋ากับม๊าสิคะ” พอบุปผชาติพูดจบเสียงหัวเราะสองพ่อลูกก็ดังขึ้นเป็นคำรบที่สองของเช้าวันนี้
จากนั้นทั้งสองก็จูงมือกันไปทานข้าวเช้า คุยกันอย่างออกรสตามประสาพ่อลูก บุปผชาตินั้นชอบหยอกล้อบิดาจนติดเป็นนิสัย เสียงหัวเราะครื้นเครงจึงเกิดขึ้นตลอดช่วงของการทานอาหารเช้า ใบหน้าของนายบริรักษ์ดูยิ้มแย้มแจ่มใสทว่า แท้จริงแล้วภายในกลับมีแต่ความกังวลเป็นห่วงลูกสารพัด อีกทั้งยังทำใจให้ลูกจากอกไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้าแสดงสีหน้าให้อีกฝ่ายได้เห็น เพราะไม่อยากให้ลูกต้องคิดมาก
หลังจากแยกกับบิดา บุปผชาติก็มุ่งหน้าเข้าห้องนอน เพื่อเก็บของใส่กระเป๋า เตรียมตัวเดินทางไปฝรั่งเศสในอีกสามวันข้างหน้า ขณะที่หญิงสาวกำลังนั่งพับเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อย่างขะมักเขม้นอยู่นั้นเสียงมือถือที่วางอยู่บนเตียงก็ดังขึ้น ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เธอยิ้มแป้นด้วยความยินดี ก่อนจะรีบกดรับสายทันที
“ฮัลโหล หวัดดีจ้ามณี เราคิดถึงเธอจังเลย โทรมาหาเรามีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ?” บุปผชาติกรอกเสียงใสลงไปในสายด้วยความดีใจที่เพื่อนรักอย่างมณีญา ซองมิน สาวน้อยลูกครึ่งไทย-เกาหลี ซึ่งครอบครัวย้ายไปตั้งหลักปักฐานที่แดนกิมจิเมื่อสิบปีที่แล้ว โทรมาในเวลาที่เธอกำลังคิดจะโทรไปหาอีกฝ่ายอยู่พอดี






























































































































