บทที่ 4 รอข้ากล้ากว่านี้

หว่านหนิงข่มตาหลับใหล ลี่หยางนอนลืมตาโพลงจะหลับลงได้อย่างไรในเมื่อร่างอ้อนแอ้นหอมกรุ่นนอนอยู่ข้างกายเช่นนี้ แล้วยังจะบางอย่างในกายที่ถูกปลุกจน ไม่มีทางจะสงบลงง่ายๆ

แสงทองส่องลอดหน้าต่างลมเย็นพัดเข้ามาเบาๆ หว่านหนิงยกผ้าห่มที่ทับร่างอยู่สองผืนออก ลี่หยางลุกไปแล้วคงห่มผ้าห่มให้หว่านหนิงเมื่อเขาลุกจากแท่นนอน อย่างน้อยก็มีความห่วงใยเพิ่มมาในวันนี้

ออกมานอกห้องนอน ร่างสูงนั่งหันหลังบนเก้าอี้กำลังลงมือเกล้าผมเอง หว่านหนิงเดินเข้าไปจับมวยผมแต่จับโดนมือของลี่หยาง เขารีบหดมือกลับปล่อยให้ผมหลุดร่วงลงมา

"ข้าช่วยท่าน"

รวบผมเบาๆ กลัวอีกคนเจ็บเกล้าเสียเรียบร้อยสวยงามเดินไปหยิบหมวกมาส่งให้

เหลือบไปเห็นชายเสื้อขาดหลุดหลุย

"ข้าเย็บเสื้อให้ท่านดีไหม"

หยิบเข็มและด้ายนั่งคุกเข่าลงข้างหน้าก้มลงเย็บชายเสื้อที่อยู่ตรงเอวหนา ใจเต้นแรงหน้าแดงถึงหู ก็สายตาอยู่ระดับเป้ากางเกงพอดี ลี่หยางก้มมองหว่านหนิงเย็บเสื้อด้วยความรู้สึกหลากหลาย ใจคอกระวนกระวายกระสับกระส่ายไม่เป็นท่าแต่กลับข่มความรู้สึกไว้เสมองทางอื่นเสีย

เหมือนกับหยุดเวลาไว้ทุกอย่างผ่านไปเชื่องช้า

"องค์ชายนั่งรอเพียงครู่หว่านหนิงทำเครื่องเสวยเช้าให้ วันนี้ห้องเครื่องนำไก่ตัวหนึ่งมา ยังเช้าอยู่หว่านหนิงเร่งมือคงไม่นานเท่าไหร่"

"วันนี้ฝ่าบาทออกว่าราชการข้ารั้งอยู่จนสายก็ได้ ไม่ต้องถวายงานที่ตำหนักเพราะกว่าขุนนางจะมาจนครบก็สายพอดี"

นั่งลงหยิบหนังสือมาอ่าน หว่านหนิงหันหลังเดินเข้าไปในห้องที่ถูกดัดแปลงเป็นห้องเครื่อง อิงไถกับกุ้ยอิงจัดแจงวัตถุดิบจนเรียบร้อยเหลือแต่เพียงขั้นตอนการปรุง

อาหารบนโต๊ะหน้าตาและสีสันน่ากินรสชาติยิ่งไม่ต้องพูดถึง ลี่หยางส่งถ้วยข้าวให้อิงไถตักเพิ่มถึงสองครั้ง

หว่านหนิงได้แต่เพียงมองลี่หยางแบบยิ้มๆ

"องค์ชาย ข้าน้อยรับบัญชาฮองเฮาให้มาดูแล องค์ชาย"

ขันทีหนุ่มน้อยคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า

ลี่หยางขมวดคิ้ว ร้อยวันพันปีไม่เคยได้รับความเมตตา หลายวันมานี่หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย

"คนของฮองเฮา เช่นไรถึงให้มารับใช้ข้า"ถามแบบพาซื่อจริงๆ

"ฮองเฮาเห็นว่า องค์ชายทรงต้องมีคนดูแล เกรงว่า (เหลือบมองหว่านหนิง) พระชายาจะ …ไม่สบายใจที่องค์ชายไร้คนดูแล"

ทำไมต้องอ้างหว่านหนิงด้วย ลี่หยางใบหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม หว่านหนิงยิ้มบางๆ

"ดีแล้วมาคอยรับใช้องค์ชาย ช่วยกันดูแลตำหนักร้อยดาวอยู่ที่นี่เสียด้วยกัน"

หว่านหนิงคิดว่าต้องพูดอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการขอบคุณ หากคำพูดบางอย่างนี้จะไปถึงหูฮองเฮา ลี่หยางขยับตัวเดินออกจากตำหนักเสี่ยวกู้เดินตามติดๆ

ใบหน้าใสซื่อและท่าทีเงอะงะไร้ซึ่งไหวพริบสร้างความขบขันให้กับอิงไถและกุ้ยอิง

"พระชายา ตอนนี้ตำหนักร้อยดาว เกือบจะสมบูรณ์แบบแล้วนับว่าพระชายาเก่งไม่น้อยตำหนักร้อยดาวจึงสดใสขึ้นมาเมื่อมีพระชายาแต่เดิมไม่มีใครกล้าย่างกราย”

“เรื่องเล่าใดกัน ที่ทำให้ผู้คนเกลียดกลัว”

แม้จะเคยผ่านหูมาบ้างแต่ก็ยังอยากได้ยินจากคนในอยู่ดี

“เรื่องเล่าที่ว่าองค์ชายเกิดมาพร้อมกับดวงพิฆาต หากผู้ใดย่างกรายเข้าใกล้มักจะประสบเคราะห์กรรมแล้วยังจะเรื่องเล่าเรื่องวิญญาณพระสนมที่วนเวียนคอยดูแลองค์ชาย”

“มีใครเคยเห็นหรือไรจึงพูดกันได้สนุกปาก”

กุ้ยอิงทำท่าทีขนลุกขนพองเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่อิงไถส่ายหัวไปมา

“ไม่มีเพคะ แต่เป็นเรื่องเล่า ตั้งแต่องค์ชายห้าเสด็จมาอยู่ที่นี่เพียงลำพังตั้งแต่ห้าขวบ”

“ห้าขวบ อายุยังน้อยทำไมถึงต้องอาศัยในตำหนักเพียงลำพัง”

“ไม่มีใครกล้ารับเข้าตำหนักฝ่าบาทก็จนใจ องค์ชายตอนนั้นทรงโตเกินตัวบอกกับฝ่าบาทว่าขอมาอยู่ที่นี่เอง”

หว่านหนิง ทอดถอนหายใจคนผู้หนึ่งจะเผชิญความทุกข์ตรมโดดเดี่ยวได้แค่ไหนกัน

“แล้วตั้งแต่นั้นมา ก็มีเสียงร่ำลือเรื่องดึกดื่นได้ยินเสียงคร่ำครวญของ พระสนมมารดาขององค์ชาย หรือบางทีก็มักมีคนเห็นเงาวูบวาบ”

กุ้ยอิงพูดที่ขึ้นด้วยท่าที หวาดกลัว หว่านหนิงขมวดคิ้ว

ลี่หยาง ฟุบหน้าลงบนโต๊ะร่างอักษรหลับสนิท ฮ่องเต้และขันทีข้างกายฝานกงกงเดินเข้ามาพร้อมกัน

“คนหนุ่มเพิ่งจะแต่งชายาเข้ามาในตำหนักเมื่อคืนคงจะอดนอน เอาเบาะมา”

ฝานกงกงรีบไปหยิบเบาะมาจากแท่นบรรทม ฮองเต้ยกคอของลี่หยางขึ้นเบาๆ สอดเบาะไปรองศีรษะไว้ให้อย่างอ่อนโยน

“ปล่อยเขานอนไปให้พอ ห้ามใครปลุก”

ฝานกงกงยิ้ม รวบเก็บกระดาษม้วนไว้ให้อย่างเรียบร้อย ก่อนจะปิดห้องปล่อยให้ลี่หยางหลับอยู่ตรงนั้น ก็จะไม่อดนอนได้อย่างไรในเมื่อทั้งคืนใจเต้นตุมๆ ต่อมๆ ตลอดคืน ทั้งหักห้ามใจด้วยบางครั้งก็อยากจะลองแต่อีกใจก็ไม่กล้า

ตำหนักร้อยดาว

ฮองเฮาในอาภรณ์เต็มยศสวยสง่า แม้อายุจะล่วงเลยไปวัยกลางคนแล้วก็ตาม เดิน เข้ามาในเขตตำหนักร้อยดาวที่สะอาดสะอ้าน ต้นไม้ใบหญ้าผลิดอกออกใบเขียวชอุ่ม ด้วยมีคนดูแลรดน้ำใส่ปุ๋ย นางกำนัลเดินตามเข้ามาถึงแปดคนข้างละสี่คน

แทบจะไม่ต้องเดินเองด้วยซ้ำไป

“ฮองเฮาเสด็จจจจ”เสียงขันทีขานดังๆหว่านชิงเงยหน้าขึ้น สูดลมหายใจเข้าลึกๆ

บทก่อนหน้า
บทถัดไป