บทที่ 14
ตอนนี้ซือลั่วไม่มีแรงที่จะย้ายเขาเข้าไปในบ้าน ทำได้เพียงดันเขาเข้าที่ร่มใต้ชายคาแล้วจัดโต๊ะพังๆ ตัวนั้น
“แก้วน้ำของเจ้าอยู่ในห้องหรือเปล่า”
เว่ยฉงซีพยักหน้า
ซือลั่ววิ่งเข้าไปในห้อง มองดูชั่วครู่ก็เห็นถ้วยไม้ไผ่วางอยู่ข้างเตียง ตอนที่หยิบขึ้นมาก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง
ถ้วยไม้ไผ่แต่เดิมที่ดูหยาบๆ กลับมีการแกะสลักต้นไผ่ลงไปสองสามต้น ฝีมืดงดงามประณีต เมื่อประกอบกันแล้วช่วยเสริมให้ภาพรวมของถ้วยชาดูงดงามมีความเป็นศิลปะอย่างมาก
ซือลั่วมองจนดวงตาเป็นประกาย ท่านอ๋องน้อยเว่ยมีพรสวรรค์มากทีเดียว
นางหยิบถ้วยแล้วเทน้ำให้เว่ยฉงซีหนึ่งแก้ว
และเทให้ตัวเองอีกแก้วหนึ่งเช่นกัน เมื่อเทียบกับถ้วยของเว่ยฉงซี เห็นได้ชัดว่าถ้วยของนางดูน่าเกลียดกว่านิดหน่อย
“เว่ยฉงซีข้าดูแลเจ้าขนาดนี้แล้ว เจ้าอยากตอบแทนข้าบ้างหรือไม่” ซือลั่วถาม
เว่ยฉงซีหยุดมือที่กำลังจะหยิบถ้วยชา จากนั้นจึงหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบหนึ่งอึก น้ำกลับไม่ได้จืดชืดเหมือนปกติ ตรงกันข้าม มันมีกลิ่นหญ้าอ่อนๆ
“เจ้าต้องการวางยาข้าจนตายหรือ” เว่ยฉงซีถาม
ซือลั่วตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร นางหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบอึกหนึ่งอย่างขบขันเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า "น้ำทางซีเป่ยรสชาติไม่ค่อยดีนัก ข้าเห็นว่าในลานบ้านมีดอกฟันสิงโต* (คำอธิบาย 蒲公英 ในภาษาไทยมีชื่อว่าดอกฟันสิงโต ชื่อทัพศัพท์ภาษาอังกฤษคือ ดอกแดนดิไลออน) เจ้าสิ่งนี้หากนำมาชงน้ำแล้วดื่มจะช่วยดับร้อนและถอนพิษได้”
“เว่ยฉงซีมองไปที่กาน้ำชา ตระหนักว่าตนเองทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว แต่เขาไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด จึงกล่าวแค่ว่า "เจ้ามีอะไรจะพูดก็กล่าวมาตรงๆ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้"
ซือลั่วรู้ว่าเขาเข้าใจผิดอีกแล้ว แต่นางไม่ใส่ใจแล้วดันถ้วยชาของตัวเอง "ลวดลายบนถ้วยของเจ้างดงามมาก แกะสลักให้ข้าด้วยสิ"
เว่ยฉงซีชะงักเล็กน้อย เขาดันคิดไปว่าซือลั่วต้องการให้เขาเขียนจดหมายหย่าหรืออะไรสักอย่างเสียอีก
ไม่ใช่ก็ดีแล้วมิใช่หรือ
“แกะสลักเป็นอะไร” เว่ยฉงซีถาม
ซือลั่วขบคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า "ดอกโบตั๋น"
เว่ยฉงซีเหลือบมองนาง "ดอกบ๊วยแสดงถึงคุณธรรมสูงส่งและบริสุทธิ์..."
ซือลั่วส่ายหัว "ข้าจะเอาดอกโบตั๋น"
เว่ยฉงซีจำได้ว่าแต่ก่อนซือลั่วชอบดอกบ๊วย เพราะซิ่วไฉจย่าผู้นั้นชอบ ถึงอย่างไรเหล่าบัณฑิตปัญญาชนส่วนใหญ่ต่างก็ชอบโอ้อวดว่าตนเองชมชอบดอกบ๊วยก็ด้วยเหตุนี้ ดังนั้นเขาจึงหยั่งเชิงนางดูเสียหน่อย
ทว่านางเปลี่ยนมาชอบดอกโบตั๋นกะทันหันเป็นเพราะรู้ว่าซิ่วไฉจย่าหมดใจและหมั้นหมายแล้ว หรือเป็นเพราะมีเหตุผลอื่น
“เหตุใดเจ้าจึงชอบดอกโบตั๋น" เว่ยฉงซีถาม
ซือลั่วกลับเหลือบมองเว่ยฉงซีด้วยสายตาที่ราวกับมองคนโง่งม "เจ้าคิดว่าระหว่างดอกบ๊วยกับดอกโบตั๋นสิ่งไหนดูดีกว่า"
เว่ยฉงซีตอบโดยไม่ต้องคิด "ดอกโบตั๋น”
“เช่นนั้นสิ่งไหนมีค่ามากกว่า"
“ดอกโบตั๋น"
ซือลั่วหัวเราะ "เช่นนั้นเจ้าชอบดอกบ๊วยหรือดอกโบตั๋น"
เว่ยฉงซีตอบ "ดอกโบตั๋น"
หากเทียบกับดอกบ๊วยแล้วเว่ยฉงซีชอบดอกโบตั๋นมากกว่า ไม่มีเหตุผลใด สิ่งไหนงดงามก็ชอบสิ่งนั้น แม้ว่าทุกคนจะมีความชอบที่แตกต่างกัน แต่เขาชอบดอกโบตั๋น อีกทั้งมันก็เป็นเพียงดอกไม้ดอกหนึ่งเท่านั้น จะดูออกได้อย่างไรว่าดอกบ๊วยบริสุทธิ์สูงส่งแต่ดอกโบตั๋นกลับไม่บริสุทธิ์สูงส่ง มันเป็นวิธีที่เหล่าบัณฑิตปัญญาชนใช้เพื่อยกระดับตนเองโดยการเสแสร้งว่ามีจิตใจงดงามคุณธรรมสูงเพียงแค่นั้น
เพียงแต่เขาไม่ได้คาดคิดว่าคำตอบของซือลั่วก็จะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน
เป็นครั้งแรกที่เว่ยฉงซีรู้สึกว่าเขากับซือลั่วมีบางอย่างที่เหมือนกันนิดหน่อย
อีกทั้ง…
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เว่ยฉงซีรู้สึกว่าซือลั่วดูสวยจริงๆ เวลาที่เธอยิ้ม โดยเฉพาะไฝรูปงาม ซึ่งเพิ่มความมีไหวพริบให้กับเธอ...
เว่ยฉงซีก้มหน้าลงและรับถ้วยของนางมา ล้วงมีดเล่มเล็กออกมาจากในอกเสื้อแล้วเริ่มแกะสลักถ้วยชาอย่างจริงจัง
ซือลั่วไม่รบกวนเขา ตนเองเดินเข้าไปในครัวแล้วนำแป้งบะหมี่ที่ขึ้นฟูมานวด เปิดฝาหม้อชิมรส ไก่ตุ๋นได้ที่แล้วเนื้อมีความอร่อยสดใหม่ กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว
ซือลั่วคิดในใจ ยุคโบราณเช่นนี้น้ำใสภูเขาสวยอากาศก็ดีแถมไก่ที่เลี้ยงไว้ก็อร่อยมาก นี่ยังเป็นเพียงแค่การทำอาหารแบบลวกๆ เท่านั้น ถ้าหากได้เครื่องปรุงรสที่จัดสรรมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ และทำออกมาตามวิธีการแบบฉบับร้านอาหารของนางเมื่อชาติก่อนจะต้องได้รสอร่อยล้ำเลิศกว่านี้แน่นอน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ซือลั่วก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย ตักไก่ออกมาอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงต้มน้ำ นำแป้งบะหมี่ที่ขึ้นฟูได้ที่มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใช้มือดึงให้ยาวแล้วนำไปต้มในหม้อ ใช้เวลาครู่เดียวก็ต้มเส้นเสร็จเรียบร้อย แช่ในน้ำเย็นพักหนึ่งแล้วตักมาสองชาม
ยามที่ซือลั่วถืออาหารออกมา เว่ยฉงซีก็แกะสลักดอกโบตั๋นเสร็จแล้ว
