บทที่ 3
นางเปิดฝาหม้อขึ้น ในนั้นมีเพียงแค่ผักป่ากับโจ๊กข้าวกล้อง
ในความทรงจำของนางเจ้าของร่างเดิมไม่ใช่คนที่ทำงานบ้าน นางเป็นคนกินเก่งแต่ขี้เกียจทำ ส่วนใหญ่คนที่ทำก็เป็นคนพิการอย่างเว่ยฉงซี ถ้าก่อไฟไม่ได้เขาก็จะนอนคว่ำลงไปทำบนพื้น ส่วนงานอื่นๆ ก็เป็นเว่ยฉงซีและคู่สามีภรรยาชราข้างบ้านที่ช่วยกันทำทั้งหมด
เจ้าของร่างเดิมนอกจากจะดูหมิ่นเว่ยฉงซีแล้ว นางยังชอบแต่งตัวงดงามหยาดเยิ้มเพื่อดึงดูดผู้คนภายนอกอีกด้วย
จู่ๆ ซือลั่วก็มองไปทางเรือนหลักด้วยความปวดใจเล็กน้อย เว่ยฉงซีอายุเพียงยี่สิบปีกลับประสบความยากลำบากในชีวิตอย่างมาก ยังต้องมาทนกับอารมณ์ของเจ้าของร่างเดิมอีก ช่างน่าสงสารอย่างแท้จริง
ในใจซือลั่วรู้สึกท่วมท้นไปหมด นางรู้สึกว่าในเมื่อตัวเองมาครอบครองร่างของเจ้าของร่างเดิมแล้วก็ควรทำดีต่อเว่ยฉงซีเพื่อชดเชยแทนร่างเดิมสักหน่อย
ในหม้อมีโจ๊กเพียงสองชาม ซือลั่วถือมันเข้าไปในเรือนหลัก และเห็นเว่ยฉงซียังคงนั่งอยู่บนเตียงอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าปราศจากอารมณ์ แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้าที่ไม่สิ้นสุด อาจจะเพราะย้อนนึกถึงเรื่องราวอะไรสักอย่างที่ไม่น่าจดจำ
เมื่อได้ยินว่านางเดินเข้ามา เว่ยฉงซีก็เก็บงำสีหน้าแล้วมองนางอย่างเย็นชา
ซือลั่วลอบถอนหายใจ นำชามโจ๊กถือมาไว้ตรงหน้าเขา "เอ้านี่"
เว่ยฉงซีไม่รับแต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้ายังจะมีอุบายอันใดอีก อย่าคิดว่าถ้าวางยาพิษจนข้าตายแล้วเจ้าจะไปอยู่กับบัญฑิตซิ่วไฉผู้นั้นได้!”
ซือลั่วผงะ ทั้งฉิวทั้งขัน
นี่เขากลัวว่านางจะวางยางั้นหรือ
ทว่าถ้าดูตามลักษณะนิสัยของเจ้าของร่างเดิมแล้วก็น่าจะสามารถทำเรื่องนี้ขึ้นมาได้จริงๆ
นางหยิบโจ๊กขึ้นมาจิบอึกหนึ่งถึงจะวางเอาไว้ด้านหน้าเว่ยฉงซี “ไม่ได้ใส่ยาพิษ เจ้าก็หิวแล้วเหมือนกัน กินสักหน่อยสิ”
หลังจากพูดจบ นางก็เดินไปกินชามนั้นของตัวเองที่โต๊ะด้านข้าง
พอโจ๊กเข้าปาก ความอยากอาหารที่รุนแรงของซือลั่วก็หายไปครึ่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
อาหารห่วยแตกจนนางสุดจะพรรณนา ผักป่าที่ชาน้ำนานเกินจนกลายเป็นสีดำๆ อีกทั้งยังมีแกลบสีดำในโจ๊ก ข้าวทั้งหยาบทั้งแข็ง รสชาติที่ไม่สามารถอธิบายได้เลย ทำให้ซือลั่วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เว่ยฉงซีมองมาที่นาง เขากลับอยากจะดูว่าแม่นางผู้นี้จะแสแสร้งไปได้ถึงเพียงไหน สำหรับสิ่งที่รสชาติเหลือจะรับขนาดนี้ เกรงว่านางคงจะเสียอารมณ์จนขว้างปาชามอีกครั้ง
คิดๆ ไปแล้วก็ช่างน่าขัน ในอดีตหากนำสิ่งนี้มาวางไว้ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นท่านอ๋องน้อยเว่ยฉงซีหรือจะเป็นบุตรีแห่งอัครเสนาบดีอย่างซือลั่วล้วนไม่มีทางยอมกินอาหารประเภทนี้
ซือลั่วลังเลอยู่ครู่เดียวก็ตัดสินใจกิน นางหิวเกินไปแล้วจริงๆ
หลังจากกินอย่างตะกละตะกลามจนเสร็จ นางก็พบว่าเว่ยฉงซีกำลังจ้องมองมาที่นางอยู่ นางมองลงไปที่มือของเว่ยฉงซี คิดว่าเขาคงเจ็บมือจนกินไม่ได้
นางจึงเดินไปหยิบชาม ตักโจ๊กขึ้นมาช้อนหนึ่งแล้ววางไว้ใกล้ปากเว่ยฉงซี "กินสิ"
เว่ยฉงซีปัดออกไปจนชามตกลงพื้นและแตกเป็นเสี่ยงๆ โจ๊กก็หกกระจายไปทั่วพื้น
"เจ้า…"
ซือลั่วโกรธเล็กน้อย แต่นางระงับความโกรธลงไปอย่างรวดเร็ว นางจำได้ว่าครั้งหนึ่งเจ้าของร่างเดิมเคยเอาโจ๊กผสมขี้หนูให้เว่ยฉงซีกิน รอจนเว่ยฉงซีกินเสร็จแล้วนางจึงหัวเราะแล้วบอกความจริง ต่อมาเว่ยฉงซีอ้วกจนหน้าซีดเป็นสีขาว ทั้งยังโกรธจนป่วยหนักจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด
ซือลั่วกุมหน้าผาก นิสัยของเจ้าของร่างเดิมเลวร้ายเกินไปจริงๆ
นางทำความสะอาดพื้น จากนั้นย้ายเก้าขาดๆ นั่งลงข้างเตียงเพื่อสบตากับเว่ยฉงซี
ในท้ายที่สุดซือลั่วก็พ่ายแพ้ เพราะหากนางไม่พูดเว่ยฉงซีก็ไม่มีทางที่จะเปิดปากพูดก่อน
ซือลั่วลอบถอนหายใจก่อนจะพูดว่า "เว่ยฉงซี เรื่องก่อนหน้านี้เป็นข้าที่ผิดไป ขออภัยด้วย"
เว่ยฉงซีไม่ได้กล่าวอันใด เห็นได้ชัดว่าเขาคงคิดว่านางยังมีลูกไม้อะไรอีก
ซือลั่วรู้ว่าการจะให้เขาเชื่อใจนางเป็นเรื่องที่ยากมาก คงทำได้เพียงแค่ค่อยๆ ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
"ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อข้า แต่ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วใช้ชีวิตกับเจ้าอย่างดีๆ ตอนนี้ข้าจะไปทำอาหารแล้ว เจ้ามีธุระอะไรก็เรียกข้า” ซือลั่วลุกขึ้นยืนและออกจากห้องไป
เว่ยฉงซีมองเงาด้านหลังของนาง ดวงตาค่อยๆ มืดมนลง
ใช้ชีวิตอย่างดี?
เขายังจะมีช่วงชีวิตอะไรให้ใช้อีกงั้นหรือ?
