บทที่ 5
เมื่อซือลั่วเห็นสีหน้าเศร้าหมองของเว่ยฉงซีก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า "คุณอยู่บ้านคนเดียวได้ไหม"
นี่นางเป็นห่วงจริงๆ หรือว่าเขาจะอยู่บ้านคนเดียวได้หรือไม่? ช่างน่าขันจริงๆ เว่ยฉงซียิ้มหยันและหันหน้าหนี ไม่ต้องการตอบนางแม้แต่น้อย
ซือลั่วเข้าใจด้วยตนเองว่าเขาหมายความว่าอะไร ถอนหายใจเล็กน้อยแล้วถามอีกครั้ง "งั้นเจ้ารู้ไหมว่าโรงรับจำนำอยู่ที่ไหน"
"ออกจากบ้านไปทางทิศตะวันตก!" หลังจากเว่ยฉงซีพูดจบก็นอนลงบนเตียงโดยหันหลังให้นาง เห็นได้ชัดว่าจะไม่พูดอีก
ซือลั่วจัดแจงตัวเองครู่หนึ่ง มองเว่ยฉงซีแล้วจึงหันกายออกจากบ้าน
ตำบลที่พวกเขาอาศัยอยู่ชื่อตำบลหย่วนซาน ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือและเป็นตำบลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหรง ซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ในตำบลเต็มไปด้วยร้านค้าและเหลาสุรามากมาย มีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่ามันห่างไกลจากบ้านสกุลเว่ยและห่างไกลจากเมืองหลวงยิ่งกว่า เห็นได้ชัดว่า องค์จักรพรรดิทำเช่นนี้เพื่อให้เว่ยฉงซีอยู่ตามยถากรรม คนไร้ประโยชน์ที่สูญเสียขาไปทั้งสองข้าง อีกทั้งยังแต่งภรรยาเช่นเจ้าของร่างเดิมอีก เว่ยฉงซีจะต้องตายในไม่ช้าก็เร็วแน่นอน
ซือลั่วอดไม่ได้ที่จะมองกลับไปยังทิศทางของสวนของบ้านตนเอง เว่ยฉงซีสามารถยืนหยัดมาได้จนถึงตอนนี้นับว่าแข็งแกร่งอย่างมาก
เดินทางไปยังทิศตะวันตกครู่เดียวก็ถึงส่วนที่ค่อนข้างคึกคักของถนน ซือลั่วสอบถามเล็กน้อยก็พบโรงรับจำนำตระกูลไป๋
เมื่อนางเดินเข้าไป เด็กในร้านที่โต๊ะก็เหลือบเปลือกตาขึ้น เมื่อดูเสื้อผ้าที่ซือลั่วสวมใส่ก็รู้ว่านางเป็นไม่ใช่คนที่มีเงิน
ชีวิตก่อนของซือลั่วทำธุรกิจร้านแฟรนไชส์ จึงอ่านสีหน้าของเด็กในร้านผู้นี้ได้อย่างชัดเจน แต่นางก็ไม่ใส่ใจ ในสถานที่อย่างโรงรับจำนำเช่นนี้เป็นเรื่องปกติที่จะดูคนแล้วค่อยวางอาหาร (คำอธิบาย 看碟下菜 เป็นสำนวนจีน หมายถึง เนื่องจากแขกแต่ละคนไม่เหมือนกันจึงจะเลือกเสิร์ฟอาหารที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน เป็นการพูดถึงการเลือกปฏิบัติกับคนอย่างไม่เท่าเทียมกัน)
ซือลั่วนำปิ่นปักผมวางไว้บนโต๊ะ นางคำนวณน้ำหนักด้วยมือ ปิ่นปักผมชิ้นนี้ไม่หนา แม้แต่หนึ่งตำลึงก็คงไม่ถึง นางไม่ค่อยเข้าใจราคาแลกเปลี่ยนในปัจจุบัน แต่ในใจก็มีตัวเลขโดยประมาณแล้ว
เด็กในร้านดูปิ่นปักผมชิ้นนั้นเสร็จก็ประเมินราคาได้แล้ว
“แม่นาง ปิ่นปักผมชิ้นนี้ฝีมือธรรมดา คุณภาพก็ไม่ดี ให้เจ้าได้แค่ห้าตำลึง!”
ซือลั่วหัวเราะ
เด็กในร้านก็หัวเราะแห้งๆ เช่นเดียวกัน "แม่นาง ข้าพูดความจริง เดิมทีปิ่นปักผมสีทองก็..."
“แปดตำลึง ได้ก็แลก หากไม่ได้ข้าจะไปดูร้านอื่น”
ชายคนนั้นผงะ ในใจคิดว่าต่อรองราคาเช่นนี้ก็ได้หรือ
“แม่นาง ไม่ใช่ว่าข้ากดราคานะ แต่จริงๆ แล้วจะทำการค้าตอนนี้มันไม่ง่ายเลย ตำบลนี้มีเพียงโรงรับจำนำของข้าแห่งเดียว หากเจ้าไปที่อื่นก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เอาแบบนี้แล้วกัน เห็นเจ้าอยากจำนำด้วยใจจริง หกตำลึง มากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว!"
ซือลั่วคิดแล้วคิดอีก ทองคำหนึ่งตำลึงสามารถแลกเป็นเงินได้สูงสุดสิบตำลึง ปิ่นปักผมชิ้นนี้ของนางไม่ถึงหนึ่งตำลึง ฝีมือก็ธรรมดามาก ราคาที่เด็กในร้านให้มาก็นับว่าไม่เลว
“หกตำลึงครึ่ง” ซือลั่วกล่าว
เด็กในร้านถึงกับพูดไม่ออกเล็กน้อย จึงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ซือลั่วอีกครั้ง แล้วคิดว่าคนคนนี้ช่างน่าสนใจโดยแท้ การต่อรองราคาก็เป็นการต่อรองราคาจริงๆ ไม่มีคำพูดไร้สาระฟุ่มเฟือยเกินมาแม้หนึ่งประโยค
เขาส่ายหัว "ไม่ไถ่คืนหรือจะไถ่คืน"
ซือลั่วผงะ ทันทีที่คิดว่าภายหลังนางยังต้องมาไถ่คืน ดังนั้นจึงตอบว่า "แบบไถ่คืนได้"
เด็กในร้านกล่าวว่า "หากแบบไถ่คืนได้ล่ะก็จะได้แค่หกตำลึง ถ้าหากแบบไม่ไถ่คืนได้หกตำลึงครึ่ง"
ซือลั่วรู้ว่าที่เด็กในร้านพูดมาเป็นความจริง ดังนั้นนางจึงไม่จู้จี้อีก พยักหน้าทันที เขียนสัญญาซื้อขายเสร็จ รับเงินแล้วก็เดินออกไปนอกร้านทันที ประจวบกับมีคนเข้าร้านพอดี ทั้งสองเดินสวนกัน คนผู้นั้นอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองซือลั่ว แน่นอนว่าซือลั่วไม่ได้สังเกตเห็น
ไป๋ซิวหย่วนหรี่ตาลง มองไปยังทิศทางที่ซือลั่วเดินไกลออกไปและในที่สุดก็หัวเราะ
“คุณชาย ท่านหัวเราะอะไรหรือ” เด็กในร้านถาม
ไป๋ซิวหย่วนนึกถึงหลายปีก่อนที่เคยพบกับซือลั่วครั้งหนึ่ง ในตอนนั้นกับตอนนี้เทียบกันไม่ได้จริงๆ และยังนึกไปถึงคนผู้นั้นที่ดูมีชีวิตชีวา เป็นท่านอ๋องน้อยแห่งซีเป่ยผู้โด่งดังไปทั่ว ทันใดนั้นก็ทอดถอนใจด้วยความหดหู่เล็กน้อย
"ไม่มีอะไร"
หลังจากพูดจบ เขาก็มองไปที่ปิ่นปักผมบนโต๊ะ "นางมาจำนำของหรือ"
เด็กในร้านพยักหน้า "เป็นปิ่นปักผมชิ้นนี้"
ไป๋ซิวหย่วนหยิบมันขึ้นมาดู เขารู้สึกว่า มันธรรมดาอย่างมาก จนหมดความสนใจ จึงหันกายเดินไปยังห้องโถงด้านหลัง
