บทที่ 10 อาจารย์ข้าคือซุนหงอคง
น้อยคนนักที่จะทำออกมาได้ ต่อให้ทำออกมาก็ยังไม่อาจจะบอกได้ว่าสามารถใช้ได้จริงหรือไม่
แต่เด็กสาวตรงหน้าที่ยังไม่พ้นวัยปักปิ่นกับพูดเรื่องนี้ออกมาได้อย่างกับมั่นใจเสียเต็มสิบส่วน
“เจ้าค่ะ ข้าเคยเห็นอาจารย์ทำมาก่อน” ลู่จื้อโกหกออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย
“เช่นนั้นรึ อาจารย์ของเจ้าคือใครกันเล่า” หมอฉียังสงสัยไม่หาย
“อาจารย์ข้าซุนหงอคงเจ้าค่ะ เป็นผู้ฝึกตน มิได้อยู่เป็นหลักแหล่ง ก่อนจะออกเดินทางได้ทิ้งตำราไว้ให้ข้าเล่มหนึ่ง ข้าจะลองทำออกมาแล้วจะนำไปให้ท่านตรวจดูว่าใช้ได้หรือไม่” ลู่จื้อคิดชื่อไม่ออกแล้ว นางจึงกล่าวอ้างถึงซุนหงอคงตัวละครที่นางชื่นชอบ
“อืม...เจ้าวาสนาดีไม่น้อย ได้พบผู้ฝึกตน” หมอฉีมองนางอย่างชื่นชม ก่อนจะเอ่ยพูดอีกสองสามประโยคแล้วขอตัวกลับไป
“จื้อเออร์ อาจารย์เจ้าเหตุใดถึงชื่อประหลาดนัก” จางหมินมองบุตรสาวอย่างหยอกล้อ เมื่อนางเอ่ยเล่าเป็นตุเป็นตะเรื่องอาจารย์ของนาง
“อาจารย์ของข้าเก่งมากเลยนะท่านพ่อ เป็นถึงเทพวานรเลย” ลู่จื้อยิ้มจนตาหยี ก่อนจะขอตัวไปหาตำราให้ลู่เพ่ย
ลู่จื้อจึงนำตำราออกมาให้ลู่เพ่ยได้ศึกษา ก่อนหน้านี้ลู่เพ่ยเคยได้เขียนอ่านมาบ้างแล้วจากบิดาจึงทำให้สามารถอ่านตำราได้ บิดาของตนเคยได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาเช่นท่านลุงใหญ่ แต่ทั้งคู่สอบหลายรอบแล้วไม่ผ่านจึงเลิกเรียนออกมาทำงานแทน
ท่านใหญ่ลุงจางเสียนได้ดูแลบัญชีให้กับร้านขายผ้าในตัวเมือง โดยส่งเงินให้ท่านย่าใช้ภายในบ้านทุกเดือน บิดาของนางจึงต้องอยู่บ้านทำนา ขึ้นเขาล่าสัตว์แทน นี้คืออีกเหตุผลที่ลุงใหญ่กับป้าสะใภ้ใหญ่มีอำนาจภายในบ้านมากจนท่านปู่ท่านย่าเกรงใจ
"น้องสะใภ้อยู่หรือไม่" เสียงตะโกนเรียกหน้าบ้านทำให้ลู่เพ่ยรีบเก็บตำราแล้วออกไปดู เป็นท่านลุงใหญ่ของตนกับกู้เหลี่ยง
"ท่านแม่ดูแลท่านพ่ออยู่ขอรับ เชิญท่านลุงกับท่านลุงกู้ด้านในขอรับ" ลู่เพ่ยเปิดทางให้ทั้งสองเข้ามา
"ขออภัยข้าไม่อาจลุกออกไปต้อนรับพวกท่านทั้งสองได้" จางหมินเอ่ยปากพูดกับทั้งคู่ ลู่จื้อนำน้ำออกมาต้อนรับแขกแล้วปลีกตัวออกไปอย่างรู้ความ
ตอนนี้ในห้องของจางหมินมีเพียง จางเสียนกับกู้เหลี่ยงเท่านั้น จางเสียนมองน้องชายของด้วยที่นอนเป็นคนพิการอยู่บนเตียง ตัวเขาก็ตอบไม่ได้เช่นกันว่ารู้สึกเช่นใดกับน้องชาย เขาสองพี่น้องมิได้รังเกียจกัน แต่จะให้ตนมาเลี้ยงดูครอบครัวของน้องชายด้วยเขาก็ไม่ต้องการ
"ที่ข้าทั้งสองคนมาในวันนี้ ก็เรื่องหมั้นหมายของกู้ซานกับจื้อเออร์" จางเสียนเหลือบมองน้องชายก่อนจะพูดต่อ
"เจ้ายังไม่ได้ยินยอมรับการหมั้นหมายของเด็กทั้งสองคน วันนี้ข้าเลยมาบอกเจ้าว่า อาซานจะหมั้นหมายกับเยว่เออร์ ยังไงซะก็เป็นคนตระกูลจางเหมือนกัน จะเป็นเยว่เออร์หรือจื้อเออร์ก็คงไม่ต่าง แต่อาซานพึงใจในเยว่เออร์ของข้า ข้าจึงมาบอกเจ้าเสียหน่อย" จางหมินนึกไม่ถึงว่าทั้งคู่จะมาด้วยเรื่องนี้
กู้เหลี่ยงมองผู้มีพระคุณอย่างละอายใจ แต่จะทำเช่นไรได้ในเมื่อบุตรชายของตนย่อมมีอนาคตที่ดีกว่านี้ หากแต่งกับลู่จื้อไปบุตรของตนก็คงหมดอนาคตเพราะครอบครัวของภรรยาเป็นตัวถ่วง
จางหมินก็ไม่ได้มีความคิดที่จะให้บุตรีของตนแต่งเข้าตระกูลกู้ตั้งแต่แรก ยิ่งทั้งคู่เผยธาตุแท้ออกมาเช่นนี้เขายิ่งรู้สึกว่าโชคดีที่ไม่ได้รับปากกับกู้เหลี่ยงตั้งแต่แรก
“แล้วแต่พวกท่านจะเห็นสมควร ข้าไม่คิดจะให้อาซานแต่งเพื่อทดแทนบุญคุณอยู่แล้ว” เพียงคำพูดของจางหมินก็เหมือนตบหน้ากู้เหลี่ยงที่กลืนคำพูดของตนแล้ว
“หากพวกท่านไม่มีสิ่งใดแล้ว เชิญกลับไปเถิด ข้าต้องการพักผ่อนแล้ว” จางหมินก็ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับทั้งคู่อีก พี่ชายของตนก็เห็นแก่ตัวนัก กู้เหลี่ยงก็เช่นกัน ตนไม่คิดจะให้ครอบครัวต้องมาเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้อีก
เมื่อโดนเจ้าบ้านเอ่ยไล่ทั้งคู่ก็ไม่มีเหตุผลต้องอยู่ต่อ แล้วเรื่องที่มาก็เพียงแค่ต้องการมาบอกกล่าว หาได้มาเพื่อให้จางหมินเห็นด้วย หากจางหมินไม่เห็นด้วยจางเสียนก็มีหลายทางที่จะทำให้งานหมั้นหมายครั้งนี้สำเร็จ
ลู่เพ่ยที่ส่งทั้งสองออกไปแล้วก็เข้ามาหาบิดา เห็นมารดาและน้องสาวนั่งรออยู่ก่อนแล้วจึงได้เอ่ยอย่างโมโห
“ท่านลุงใหญ่น่ารังเกียจยิ่งนัก ท่านลุงกู้ก็เช่นกัน ข้ายังจำวันที่ท่านลุงหามท่านพ่อลงมาจากเขา แล้วเอ่ยปากจะให้กู้ซานหมั้นหมายกับน้องสาวได้ดี”
“ข้าก็ว่าทำไมจางเยว่ต้องผลักข้าลงแม่น้ำด้วย ก็คงจะเป็นเพราะเรื่องของกู้ซานนี้เอง” ลู่จื้อนึกสงสารร่างเดิมที่ไม่ได้รู้เรื่องราวแล้วยังต้องมาโดนจางเยว่ผลักตกน้ำจนถึงตาย
นางขึ้นบัญชีดำจางเยว่ไว้ในใจ เมื่อสบโอกาสเมื่อไหร่นางจะเอาคืนแทนร่างเดิมอย่างแน่นอน
จางหมินกับจินหรูเมื่อเห็นบุตรีไม่มีท่าทางเสียใจก็โล่งอก
“กินข้าวกันเถิดเจ้าค่ะ ข้าหิวแล้ว” ทุกคนลืมไปเลยว่าเลยเวลากินข้าวมาแล้ว ตอนนี้บ้านรองจางกินข้าวสามมื้อ ต่างจากคนในหมู่บ้านที่กินเพียงสองมื้อเท่านั้น หากบ้านใดที่พอจะเงินใช้คล่องมือ ก็กินสามมื้อเช่นกัน
