บทที่ 9 เหลือจะเชื่อ
แคว้นฉีที่นางอยู่นั้นยังไม่ปรากฏบุคคลที่มีพลังปราณ นางจึงไม่เข้าใจว่าทำไมหนังสือเล่มนี้จึงมีอยู่ในห้องตำราได้ นางจึงหยิบหนังสือเล่มนั้นมานั่งอ่านเพื่อทำความเข้าใจ
เมื่ออ่านตำราจบแล้วทำให้รู้ว่าไม่ใช่ว่าในแคว้นฉี จะไม่มีผู้ฝึกปราณ แต่คนที่ฝึกนั้นมีน้อยมาก แล้วยังไม่มีผู้ที่เป็นผู้ฝึกตนเพื่อก้าวข้ามสู่ขั้นเป็นเซียน หากนางทำให้ครอบครัวของนางทุกคนเป็นผู้ฝึกตนได้ต่อไปครอบครัวของนางก็ไม่ต้องเกรงกลัวอำนาจของผู้ใดอีก
ลู่จื้อจึงลองเปิดจุดตันเถียนตามตำรา นางนั่งกำหนดจิตไปที่จุดตันเถียน (อยู่ด้านล่างสะดือลงไปสามนิ้วเรียกตันเถียนล่าง) เมื่อเข้าสู่สมาธิลู่จื้อค้นพบจุดแสงใจกลางตันเถียนก้อนเท่าเมล็ดถั่ว หากใช้ความรู้สึกจับจะเห็นว่าจะมีแสงหลากหลายสีกระจายโดยรอบๆ อีกมาก นางจึงค่อยๆ ดึงแสงเหล่านั้นเข้ามารวมในจุดตันเถียนให้เป็นหนึ่งเดียว
จากนั้นนางโคจรเส้นลมปราณเพื่อดึงแสงสีต่างๆ จากจุดตันเถียนระหว่างคิ้ว (เรียกจุดตันเถียนบน) และตรงกลางหัวใจ (เรียกจุดตันเถียนกลาง)
ลู่จื้อทำตามวิธีที่ตำราได้บอกไว้ นางนั่งรวบรวมแสงจนเก็บทั้งหมดเข้าจุดตันเถียนได้แล้ว นางจึงออกจากสมาธิก็พบว่าเวลาผ่านมาไม่น้อยแล้ว
และคิดว่าด้านนอกคงจะเช้าแล้ว ครอบครัวของนางคงจะเป็นห่วงที่นางหายไปที่ใดก็ไม่รู้ ตอนนี้ตัวของนางส่งกลิ่นเหม็นแถมยังมีคราบสีดำเลอะเสื้อผ้าเต็มไปหมด ชุดนี้ของนางคงจะนำมาใส่อีกไม่ได้แล้ว
เมื่อออกมาจากกระท่อม นางกำลังจะไปอาบน้ำ ลู่จื้อจึงพบว่าด้านนอกมีสิ่งที่เพิ่มขึ้น ด้านหลังปรากฏภูเขาทอดยาวหลายลูก ลำธารที่ไหลมาจากภูเขาไหลลงสู่บึงดอกบัว นางจึงเดินลงไปอาบน้ำเพราะตอนนี้เหม็นตัวเองแทบจะทนไม่ไหวแล้ว
“เอ๊ะ”
ยามที่แช่น้ำอยู่นั้น ของเหลวสีดำก็ไหลออกมาจากตัวของนางมากมายจนน่าตกใจ
ด้วยกลัวว่าครอบครัวจะเป็นห่วง นางจึงเลิกสนใจสิ่งประหลาดทั้งหมด ก่อนจะรีบออกไปด้านนอก
แล้วนางก็ต้องแปลกใจยิ่งกว่าเดิม เมื่อออกมาอยู่ภายในห้องเวลาด้านนอกเพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูป (ประมาณ30นาที)
“เหลือจะเชื่อ” นางพึมพำออกมา ก่อนจะล้มตัวลงนอนทันที
เช้าวันใหม่ ลู่จื้อเดินออกมาเตรียมตัวล้างหน้าล้างหน้า
"เจ้า เจ้าเป็นใคร เข้ามาในบ้านข้าได้อย่างไร" ลู่จื้อขมวดคิ้วไม่เข้าใจในสิ่งที่ลู่เพ่ยพูด
"ท่านพี่ ท่านจำน้องสาวของตนเองไม่ได้หรือ หรือว่าท่านไม่สบาย" ลู่จื้อมองลู่เพ่ยอย่างมองคนเสียสติ ที่เขาจำนางไม่ได้
"จื้อเออร์ เจ้าไปทำอันใดมา ทำไมเจ้าถึงเป็นเช่นนี้" ลู่จื้อจับไปที่หน้าของตน แล้วคิดว่าหรือตนล้างคราบดำออกไม่หมด นางจึงเดินไปที่โอ่งน้ำข้างห้องครัวเพื่อส่องดูสภาพตนเอง
“เฮ้ยยย” นางร้องออกมาด้วยความตกใจ
เมื่อใบหน้าของนาง พร้อมทั้งผิวพรรณเปลี่ยนไปมากนัก ราวกับว่าเป็นคนละคนไปเลย นางไม่คิดว่าร่างนี้จะงดงามมากเช่นนี้
ใบหน้าตอนนี้นั้นไม่มีเค้าโครงเดิมเหลืออยู่เลย กลายเป็นดรุณีน้อยนางหนึ่งที่งดงามเป็นอย่างมาก ใบหน้ารูปไข่ คิ้วโค้งดั่งวงเดือน ดวงตาเรียวยาวหางตาตวัดโค้งขึ้น อิ่มฝีปากอวบอิ่มดั่งผลอิงเถา (เชอร์รี่) รวมๆ แล้วเรียกได้ว่านางกลายเป็นสาวงามล่มเมืองไปแล้ว
ลู่เพ่ยที่ได้สติหลังจากมองน้องสาวอย่างโง่งมก็วิ่งไปตามมารดาที่ดูแลบิดาอยู่ นางจินหรูเมื่อเห็นลู่จื้อยังตกใจ จากนั้นก็คว้ามือบุตรสาวรีบเข้าไปให้ห้องของจางหมิน
ตอนนี้ทั้งสามคน มองหน้าลู่จื้ออย่างมีคำถาม จนลู่จื้อต้องรีบเล่าเรื่องราวในมิติจิตให้ฟัง แต่ตอนนี้ทั้งหมดไม่มีเวลาคิดอะไรแล้ว ต้องรีบทำอาหารเพราะใกล้ถึงเวลาที่นัดหมอฉีเอาไว้
“จื้อเออร์ เจ้าไปหาผ้ามาปิดหน้าไว้ก่อนเถิด” จางหมินจึงให้บุตรสาวใส่ผ้าปิดบังใบหน้าไว้ก่อน จะได้ไม่เป็นที่ผิดสังเกต
“เจ้าค่ะ” ก่อนจะเดินออกไปจากห้องของบิดาลู่จื้อถูกลู่เพ่ยดึงแขนเอาไว้
“น้องพี่ เจ้าสอนข้าเปิดจุดตันเถียนบ้างได้หรือไม่” ลู่เพ่ยก็กระซิบกระซาบกับน้องสาวขอให้ช่วยตนเปิดจุดตันเถียนบ้าง
ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะดูดีขึ้น แต่หากเปิดจุดตันเถียนได้เขาก็สามารถฝึกกำลังภายในได้ ในห้องตำราภายในมิติจิตอาจจะมีตำราให้เขาได้ฝึกวรยุทธ์ก็เป็นได้
“ได้เจ้าค่ะ” ลู่เพ่ยยิ้มกว้างออกมาเมื่อลู่จื้อนางรับปาก ก่อนจะปล่อยให้นางเดินไปหาผ้ามาปิดบังใบหน้าไว้
หมอฉีมาตรงเวลาที่ได้นัดหมายกันไว้ เมื่อตรวจบาดแผลของจางหมินจึงพบว่ายังสามารถรักษาได้ แต่หมอฉีไม่รับปากว่าจะเดินได้เป็นปกติเหมือนเดิมหรือไม่
ทั้งสามได้ยินก็ดีใจ ถึงจะเดินไม่เหมือนเดิมอย่างน้อยบิดาของตนก็สามารถลุกขึ้นมาใช้ชีวิตได้เหมือนคนอื่น หมอฉีเขียนเทียบยา และบอกวิธีดูแลแล้วจริงกลับออกไป ค่าตรวจท่านหมอฉีไม่คิดเพราะอยากผูกสัมพันธ์กับครอบครัวจาง ผู้ที่หาโสมมาได้มากถึงสามหัวในคราวเดียว
หากหมอฉีได้รู้ว่าลู่จื้อนางยังมีอีกหลายหัวไม่รู้ว่าจะตกใจมากเพียงใด
ลู่จื้อก็ตระหนักในเรื่องนี้ดี นางจึงแจ้งกับหมอฉีว่าจะนำโสมแดงที่นางกำลังทำนั้นไปขายให้ร้านยาฮุ่ยชิวเพียงแห่งเดียวเท่านั้น หมอฉีจึงดีใจอย่างมากที่ตนเลือกไม่รับค่าตรวจครั้งนี้
“เจ้ารู้วิธีทำเช่นนั้นรึ”
