บทที่ 10 ตอนที่ 10.ทัณฑ์เถื่อน/1
“พี่ขอสาบานเลยนะ ว่าจะแต่งงานครั้งนี้ครั้งแรกและครั้งเดียว เข็ดจริงๆ” ภานุทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียง
“พี่นุไปอาบน้ำสิคะ จะได้หายเหนื่อย แช่น้ำอุ่นๆ จะได้สบายตัว เดี๋ยวมัดเตรียมน้ำให้ค่ะ”
“ไม่เป็นไร มัสพักเถอะ พี่ขอตัวไปอาบน้ำก่อน” ภานุลุกจากเตียงเดินหายเข้าในห้องน้ำ
มัสลินมองตามหลังเจ้าบ่าวที่เดินโผเผเข้าไปในห้องน้ำแล้วอมยิ้ม ขณะนั่งตัวตรงมองตัวเองในกระจก ไม่คิดไม่ฝันว่าจะต้องมาเป็นเจ้าสาวตัวแทน
ชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์แบบเกาะอกกระโปรงสุ่มพองบานราวกับเจ้าหญิง ใบหน้าถูกตกแต่งอย่างงดงาม ผมรวบเป็นมวยประดับด้วยเครื่องประดับผมและดอกไม้
พิศมองดูเหมือนภาพในความฝัน เธอคิดถูกใช่ไหมที่ยอมรับข้อเสนอของภานุ ชีวิตหลังจากนี้จะเปลี่ยนไปใช่ไหม
“ที่ผมเสนอให้คุณแต่งงานกับผม เพราะผมอยากช่วยคุณ ถ้าคุณแต่งงานกับผมก็จะสามารถรับคุณยายมาดูแลได้ ไม่ต้องไปอาศัยป้าของคุณให้เขาโขกสับ”
ข้อเสนอนี้ของเขา ทำให้มัสลินยอมรับปาก เธอต้องการพาคุณยายออกมาให้พ้นจากคนใจร้ายอย่างแพรพรรณ ภานุร่ำรวยและยินดีช่วยเหลือเธอทุกอย่าง
การแต่งงานครั้งนี้จะพลิกชีวิตของเธอกับคุณยายให้เปลี่ยนไป
“คุณยายคะ มัสคิดไม่ผิดใช่ไหมคะ ที่ยอมแต่งงานกับคุณภานุ”
มัสลินพึมพำออกมา หลับตาลงผ่อนลมหายใจออกแรงๆ ระบายความวิตกกังวลในหัวใจออกมา บอกตัวเองว่ามันจะผ่านพ้นไปแล้วจะมีสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต
ดวงตาคู่สวยค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ มองภาพสะท้อนในกระจกเงาของตัวเองอีกครั้ง
ทว่า... ดวงตากลับเบิกกว้างขึ้น เมื่อมองเห็นเงาสะท้อนของใครคนหนึ่ง ปรากฏอยู่ในกระจกพร้อมกับปืนในมือ
“แกเป็นใคร ชะ ช่วย อุ๊บ!”
เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือไม่ทันหลุดพ้นคอ มือหนาก็ยืนมาปิดปากไว้พร้อมกับผ้าผืนหนึ่งก็โปะลงมาบนจมูก
มัสลินผวาดิ้นสุดแรงเผลอหายใจสูดกลิ่นนั้นเข้าไปเต็มปอด ดวงตาเบิกค้างความหวาดกลัวแทรกผ่านเข้ามาในหัว
ก่อนอนุสติสุดท้ายจะหมดลง ร่างบางทรุดฮวบลงไปในอ้อมแขนแข็งแรงนั้น
“หึ หลับให้สบายนะคนสวย”
เขากระซิบเบาๆ ข้างหูคนไร้สติ ก่อนจะช้อนอุ้มร่างบางเดินออกจากห้องนั้นไป
ตลอดหลายวันมานี้ ความเคลื่อนไหวของภานุและมัสลินตกอยู่ในสายตาของเขาโดยตลอด เขาจับตามองสองหนุ่มสาวตั้งแต่ทั้งคู่ออกมาถ่ายรูปด้วยกันที่ชายหาด
และยังจ้างให้ช่างภาพถ่ายรูปคนทั้งคู่ตอนอยู่บนเรือส่งมาให้ดูด้วย ท่าทางสนิทสนมกันของทั้งสอง ทำให้คนมองรู้สึกขัดตาเหลือกำลัง
เขาลอบมองว่าที่เจ้าสาวที่ดูสวยหวานด้วยสายตาหยามหยัน ผู้หญิงเจ้ามารยาอยู่ใกล้ผู้ชายคนไหนก็ยิ้มระรื่น
หัวร่อต่อกระซิก หว่านเสน่ห์ ยั่วยวนผู้ชายให้ตกหลุมไปทั่ว เจอภานุไม่เท่าไหร่ก็สนิทสนมถึงกับจับมือจับผมกันแล้ว
เขาปล่อยให้มีความสุขกันให้มากๆ ก่อนที่เขาจะทำให้มันได้ลิ้มรสความเจ็บปวดแสนสาหัส แบบที่มันทำไว้กับพี่ชายเขา
คืนแต่งงานของมันคือคืนที่เขาเลือกจะลงมือ ลักพาตัวเจ้าสาวของมันไป แบบที่มันเคยทำกับพี่ชายของเขา
สิ่งที่ไอ้ภานุทำไว้ จะต้องได้รับการชดใช้อย่างสาสม!
///
มัสลินรู้สึกตัวขึ้นมาท่ามกลางความมืด ในสภาพที่เจ้าตัวมึนงง สมองทำงานช้าจนนึกอะไรไม่ออก พยายามขยับลุกขึ้นแต่มือถูกมัดไว้แน่น
อ้าปากจะร้องก็พบว่ามีผ้ามัดปากไว้ ตาลืมไม่ขึ้นถูกผ้ามัดปิดไว้เช่นกัน นอนตะแคงคุดคู้บนพื้นเย็นๆ แถมพื้นยังโครงเครงไปมา
พยายามออกแรงดันตัวเองให้ลุกขึ้น แต่ช่างยากเย็นเหลือเกิน ร่างกายขยับได้เล็กน้อยเพราะถูกพันธนาการไว้จนดิ้นไม่หลุด
ยิ่งออกแรงยิ่งถูกเชือกที่มัดไว้บาดข้อมือจนแสบไปหมด หญิงสาวจึงนอนนิ่งๆ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามตั้งสติตัวเอง ลำดับเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น
ภาพในความทรงจำเสี้ยวนาทีสุดท้ายก่อนสิ้นสติค่อยๆ วาบผ่านมาในมโนนึก เธออยู่ในห้องหอหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
แล้วมีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาในห้อง รูปร่างของเขาสูงใหญ่ไว้ผมยาว หนวดเครารกเรื้อน่ากลัว เธอจึงกรีดร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ
แต่ถูกเขาใช้มือปิดปากเอาไว้แล้วถูกผ้าเหม็นๆ โปะจมูก
ถูกลักพาตัว... เธอถูกลักพาตัว !
คำๆ นี้ ผุดขึ้นในหัว ความทรงจำย้อนกลับมาให้จดจำได้ พร้อมกับความกลัวที่พุ่งวาบเข้ามา ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมาในทันทีด้วยความหวาดหวั่น
เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ทำไมถึงมีคนลักพาตัวเธอมา คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัว
ขณะที่เจ้าตัวพยายามสงบอารมณ์ข่มความหวาดกลัวลงทีละน้อย คุณยายเคยสอนว่า หากยามเกิดปัญหาสิ่งใดต้องตั้งสติให้มั่นใช้ปัญญาในการแก้ไข
อย่างให้อารมณ์หรือความหวาดกลัวมาครอบงำ จนทำให้ตัวเองขลาดเขลา
มัสลินสูดลมหายใจแรงๆ นิ่งเงียบใช้ประสาทรับรู้ที่ยังพอใช้งานได้คือหู เงี่ยหูฟังเสียงรอบๆ กาย
เสียงเครื่องยนต์... เสียงคลื่น... พื้นโครงเครง...
เธอถูกพาขึ้นมาบนเรือและเรือกำลังแล่นไปที่ไหนสักแห่ง... มัสลินวิเคราะห์สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
แกร๊ก...
เสียงเปิดประตูดังแว่วมา หญิงสาวนอนตัวเกร็งหายใจเข้าออกแผ่วเบา ความหวาดกลัวถาโถมเข้ามาอีกระรอก
มัสลินพยายามตั้งสติที่เหลือน้อยนิดของตัวเองไว้มั่น ยอมรับว่ากลัวมาก แต่จะหนียังไง เมื่อถูกมัดมือปิดตาปิดปากไว้แบบนี้
ได้แต่นอนรอชะตากรรมที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
