บทที่ 13 5.2 การกลับมาของหานไท่หยาง

หลิวฮองเฮาคลี่ยิ้ม “เสด็จย่าของเจ้าทรงสบายดี แล้วเจ้าเล่าได้เจอกับจางอวิ๋นซีแล้วหรือไม่”

หานไท่หยางยิ้มอ่อนๆ ตอบ หลิวฮองเฮาทรงรู้ดีว่าบุตรชายของพระนางนั้นยากแท้ที่จะแสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา ภายใต้ใบหน้าที่เย็นชานี้ กลับมีสิ่งปกปิดที่ไม่อาจให้ผู้ใดล่วงรู้มากมาย แม้กระทั่งมารดาอย่างพระนางก็ไม่อาจเข้าถึงความคิดภายในใจของบุตรชายได้

“เอาล่ะ แม่จะไม่ถามเจ้า แต่เจ้านั้นทราบหรือยังจุดประสงค์การจัดงานล่องเรือชมบงกชครั้งนี้” หลิวฮองเฮาทรงถามหยั่งเชิง

อันที่จริงการจัดงานล่องเรือชมบงกชยามค่ำคืนนี้ เป็นแค่ส่วนหนึ่งของแผนการคัดเลือกพระชายาให้องค์ชายแต่ละองค์ของไทเฮาเท่านั้น พระนางทรงเลือกจัดงานนี้ตรงกับวันพระราชสมภพพอดี เพื่อประกาศข่าวดีนี้ให้กับเหล่าขุนนางและประชาชนได้ทราบโดยทั่วกัน อีกทั้งสกุลจางกับฮองเฮานั้นก็มีความสัมพันธ์อันดีฉันญาติมิตรกันมาเนิ่นนาน น้องสาวของพระนางเองก็แต่งงานเป็นฮูหยินเอกของจางเยี่ยน การที่บุตรของทั้งสองจะสมรสกันนั้นย่อมเป็นเรื่องที่สมควร

ฮองเฮากับจางฮูหยินนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องที่สนิทสนมกันพอสมควร เมื่อต่างฝ่ายต่างออกเรือนไป พระนางจึงทรงหมายมั่นพระทัยอยากให้ธิดาของจางฮูหยินเป็นพระชายาเอกของบุตรชาย และหากภายภาคหน้าบุตรชายได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท หลานสาวผู้นี้ก็จะมีศักดิ์เป็นฮองเฮา!

“เสด็จย่าคงหมายพระทัยคัดเลือกคู่ครองให้ลูกกับบรรดาพี่น้องทุกคน” หานไท่หยางตอบ

หลิวฮองเฮาเลียบๆ เคียงๆ ถาม “แล้วเจ้าคิดว่าจางอวิ๋นซีนั้นเป็นอย่างไร”

คำถามของพระมารดาพาลให้หานไท่หยางหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในตลาดของพ่อค้าต่างชาติ ภาพที่จางอวิ๋นซีกำลังยืนโต้ตอบกับพ่อค้าชาวเปอร์เซียกลุ่มนั้น ทำให้หานไท่หยางรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก จางอวิ๋นซีปกติเป็นสตรีที่สงบปากสงบคำ พูดน้อยกิริยาวาจาสำรวม อีกทั้งใบหน้าที่ดูเศร้าหม่นตลอดเวลา แต่เพลานี้นางที่เขาเจอเป็นสตรีที่มีทุกอย่างตรงกันข้ามสิ้นเชิง

นางทั้งปากไว โต้เถียงกับพ่อค้าเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว!

ความเป็นกุลสตรีหาได้มีในตัวนางสักนิด!

พฤติกรรมที่นางแสดงออกมานั้นไม่เหมือนสตรีสูงศักดิ์ที่ได้รับการอบรมเลยสักนิดเดียว หากเขาได้นางมาเป็นชายาคงมีเรื่องปวดหัวให้ไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่

หานไท่หยางเลี่ยงที่จะตอบมารดา

“ลูกขอตัวไปเข้าเฝ้าเสด็จย่าก่อนพะยะค่ะ”

ชายหนุ่มไม่ต้องการจะอยู่สนทนาต่อ เนื่องด้วยตนเองกลัวว่าจะหลุดวาจากล่าวร้ายต่อสตรีที่พระมารดาทรงโปรดปราน เขาไปทำศึกรบที่ตำบลซ่างจิ่งทางแดนเหนือมาเกือบหนึ่งปี แต่ไม่คาดคิดนักว่าภายในเวลาหนึ่งปีนี้จางอวิ๋นซีจะเปลี่ยนไปมากเช่นนี้ นางเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนที่เขาไม่คุ้นเคย

หลิวฮองเฮาทรงถอนพระทัยเฮือกใหญ่ นานมากแล้วแต่หานไท่หยางก็ยังคงเมินเฉยต่อบิดาของตนเอง หวังกูกูจึงประคองร่างของพระนางลงบนเก้าอี้ลายหินอ่อนหน้าพระตำหนัก นางเป็นกูกูที่คอยถวายการรับใช้มานาน จึงย่อมเข้าใจ

ทุกความคิดของหลิวฮองเฮาดี

“หากองค์ชายทรงเมินเฉยต่อฝ่าบาทเช่นนี้ จะเป็นการดีหรือเพคะฮองเฮา หากอ๋องใหญ่โอรสหยางเต๋อเฟยได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท แล้วท่านอ๋องไท่หยางเล่าเพคะ” สิ่งที่หวังกูกูกล่าวมาทั้งหมด หลิวฮองเฮาเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายกล่าวด้วยความเป็นห่วง หวังกูกูรับใช้ฮองเฮามานานนับตั้งแต่หลิวฮองเฮายังเป็นธิดาเจ้ากรมกลาโหมหลิวฉาง จนกระทั่งได้รับการคัดเลือกเป็นพระชายาเอกขององค์รัชทายาทและฮองเฮาตามลำดับ

ระหว่างทางที่หานไท่หยางกำลังเดินทางไปเข้าเฝ้าหานไทเฮาผู้เป็นเสด็จย่านั้น อ๋องหนุ่มก็ต้องเจอกับบุคคลที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดในเพลานี้ถึงสองคน คืออ๋องใหญ่และฮ่องเต้ซึ่งเป็นบิดาผู้ให้กำเนิด ท่าทีสนิทสนมของทั้งสองพ่อลูกนั้น หานไท่หยางรู้สึกเจ็บแปลบในอกเป็นอย่างยิ่ง

หานอี้หรืออ๋องใหญ่เป็นโอรสพระองค์ใหญ่ของฮ่องเต้ที่ประสูติจากหยางเต๋อเฟย กำลังเดินประคองหานฮ่องเต้ผู้เป็นพระบิดากลับจากตำหนักของหานไทเฮา หานไท่หยางคาดเดาได้ไม่ยากว่าทั้งสองคงมาถวายพระพรล่วงหน้าก่อนเพลาจัดงานล่องเรือชมบงกช

“นั้นอาหยางพะยะค่ะเสด็จพ่อ” หานอี้เห็นไท่หยางคนแรกจึงกล่าวกับบิดาของตนเอง เขาส่งรอยยิ้มทักทายผู้เป็นน้องชายอย่างมีไมตรี แต่กลับได้รับสีหน้าเรียบเฉยราวกับคนหยิ่งยโสจากหานไท่หยางมาแทน

“ถวายพระพรฝ่าบาท ทรงพระเกษมสำราญดีหรือไม่” หานไท่หยางคำนับอีกฝ่ายตามธรรมเนียม เขาไม่สนิทใจนักที่จะเรียกอีกฝ่ายว่าเสด็จพ่อได้เต็มปากเหมือนกับหานอี้

ฮ่องเต้หานทรงตอบรับเล็กน้อย “ข้าสบายดี แล้ว...”

“กระหม่อมขอตัวก่อนพะยะค่ะ” หานไท่หยางไม่อยากเสียเวลาอยู่สนทนาต่อ อ๋องหนุ่มเดินไปยังตำหนักของหานไทเฮา หากเขาได้อยู่ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกับบิดาเกรงว่าเขาอาจจะอยากอาเจียนออกมาก็ได้

เรื่องราวแต่หนหลัง ความขัดแย้งระหว่างบิดากับบุตรจะมีผู้ใดเข้าใจดีกว่าหานไท่หยางและฮ่องเต้หานผู้เป็นบิดา

“น้องรอง เหตุใดเจ้าจึงใจร้ายกับเสด็จพ่อนัก เสด็จพ่อทรงรอเจ้ากลับมา แต่เจ้ากลับทำแบบนี้เช่นนั้นรึ?!” เป็นอ๋องอี้ที่ไม่พอใจกับท่าทีปฏิบัติต่อบิดาของหานไท่หยาง

หานไท่หยางหยุดเดิน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันไปตอบหานอี้ผู้เป็นพี่ชายต่างมารดา โดยมิได้หันมามองแววตาของผู้เป็นบิดาที่มีแต่ความเสียใจ

“เจ้าควรดีใจมากกว่า ที่ได้เป็นลูกชายคนโปรดของเขา” หานไท่หยางกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชัน แต่เป็นน้ำเสียงประชดประชันที่เต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจบิดายิ่งนัก

บทก่อนหน้า
บทถัดไป