บทที่ 27 9.2 อภิเษกสมรส
ก่อนจะถึงฤกษ์แต่งงานนั้น สินสอดทองหมั้นต่างๆ ถูกส่ง
มาจากจวนของหานไท่หยางอย่างยิ่งใหญ่ เครื่องประดับและทองคำมากมายเสียจนหลี่ฮูหยินกับจางเซียวหรูอดอิจฉาไม่ได้
“งดงามทั้งนั้นเลย” ไท่ฮูหยินหยิบเครื่องประดับและทองหมั้นทั้งหลายมาชื่นชม นางยกทองคำแท่งหนึ่งต่อหน้าจางอวิ๋นซี “หลานย่าโชคดีนัก”
“ยังไม่หมดนะเจ้าคะคุณหนู อาภรณ์และเครื่องประดับงดงามนี้ถูกส่งมาจากในวัง ไทเฮากับหลิวฮองเฮาทรงคัดเลือกเองกับมือเลยนะเจ้าคะ ทั้งชุดแต่งงานนี้ฮองเฮาทรงสั่งให้ตัดใหม่เพื่อคุณหนูเลยเจ้าค่ะ” หรูหรงหยิบชุดพระราชทานขึ้นมาเชยชมต่อหน้าจางอวิ๋นซี
“ก็หลานมีวาสนาอย่างไรเจ้าคะท่านย่า ท่านแม่ คนดีมักได้สิ่งดีๆ ตอบแทน” จางอวิ๋นซีแสร้งกล่าวกระทบกระเทียบให้หลี่ฮูหยินกับจางเซียวหรูได้ยิน ได้ผล...พวกนางสองแม่ลูกมองสิ่งของพระราชทานและสินสอดทองหมั้นตาลุกเป็นไฟ
ไท่ฮูหยินปิดหีบซึ่งบรรจุสินสอดทองหมั้นมีมูลค่าจำนวนมากเอาไว้ “ซีเอ๋อร์ เดิมทีทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ต้องตกเป็นของตระกูลทั้งหมด แต่ทว่าสินสอดทองหมั้นเหล่านี้ย่าอยากให้เจ้าเก็บเอาไว้ให้ดี แม้ท่านอ๋องจะทรงมีทรัพย์สินมากมาย แต่ย่าก็ไม่อยากให้เจ้าใช้เบี้ยหวัดของพระองค์มากนัก ของหมั้นทั้งหลายเจ้าเก็บเอาไว้เถิด ถือเป็นของขวัญวันแต่งงานของเจ้า”
จางอวิ๋นซีกอดแขนไท่ฮูหยินกับจางฮูหยินอย่างเอาใจ
“ท่านย่ากับท่านแม่คือคนที่ข้ารักที่สุด ทรัพย์สินอันใดข้าก็ไม่อยากได้เจ้าค่ะ ข้าให้ท่านย่ากับท่านแม่เก็บเอาไว้เถิด หานไท่หยางคงไม่ใจร้ายถึงขนาดไม่ให้เบี้ยหวัดรายเดือนหลานหรอก”
จางฮูหยินซึ้งในน้ำใจบุตรสาวนัก “ลูกแม่ช่างเป็นเด็กกตัญญูเสียจริง”
ไท่ฮูหยินเตือน “อีกไม่กี่วันหลานย่าจะต้องเข้าไปอยู่ในวังอ๋องแล้ว ทำตัวให้ดี ท่านอ๋องจะได้เมตตาเจ้า ไม่เช่นนั้นพระองค์อาจจะมีชายารองหรืออนุมาก็ได้”
“เจ้าค่ะ” จางอวิ๋นซียิ้มแห้งๆ
‘อยากมีอนุหรือชายารองก็เรื่องของเขาสิ ขอแค่นางไม่เดือดร้อนก็พอ’ จางอวิ๋นซีคิดในใจ นางไม่สนใจธรรมเนียมโบราณที่ว่าเชื้อพระวงศ์ชายนั้นสามารถมีชายาเอกหนึ่ง หรือชายารองกี่คน ขอเพียงแค่อยู่ด้วยกันแล้วนางไม่เดือดร้อนก็พอแล้วมิใช่หรือ
วังอ๋อง ของหานไท่หยาง
ก่อนคืนแต่งงานนั้นหานไท่หยางไม่อาจข่มตานอนหลับได้!
อ๋องหนุ่มนอนกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาแม้เพลานี้จะเป็นยามห้าย3 แล้วก็ตาม แต่หานไท่หยางก็ไม่อาจข่มตานอนหลับได้ลง ด้วยเพราะพรุ่งนี้คือวันอภิเษกของเขากับจางอวิ๋นซีแล้ว อ๋องหนุ่มรู้สึกประหม่ายิ่งนัก ยามนึกถึงคืนวันแต่งงานที่เริ่มใกล้เข้ามาทุกที และยิ่งไปกว่านั้นเขาตื่นเต้นยิ่งกว่าหากต้องเข้าร่วมหอกับนางคืนแรก!
จะไม่ให้เขารู้สึกประหม่าได้เช่นไร ต่อให้มีสตรีมากมายทอดสะพานให้กับเขา แต่ทว่าเขานั้นกลับไม่เคยอ้าแขนรับสตรีใด แต่จางอวิ๋นซีเป็นคนแรกที่เขาโมโหเป็นฟืนเป็นไฟทุกครั้งที่มีคนมาทำร้ายนาง เขาไม่รู้นักว่าจะหักห้ามใจได้อีกหรือไม่หากมีคนคิดร้ายต่อนางอีก
เมื่อเห็นผู้เป็นนายมีท่าทีกระสับกระส่ายราวกับคนนอนไม่หลับ หลินกงกงจึงเข้ามาด้วยคิดว่าเจ้านายอาจจะต้องการเรียกหาตน
“ท่านอ๋อง ทรงบรรทมไม่หลับหรือพะยะค่ะ” หลินกงกงถาม
หานไท่หยางยังมิได้ตอบ เขาหันมามองแท่นบรรทมของตนเองที่เปียกไปด้วยของเหลวสีขาวขุ่น อ๋องหนุ่มกุมศีรษะอย่างหัวเสีย นี่เขาคิดถึงนางจนเป็นขนาดนี้เลยหรือนี่!
หลินกงกงซ่อนรอยยิ้ม “ท่านอ๋อง จะให้นางกำนัลมาเปลี่ยนผ้าปูหรือไม่พะยะค่ะ”
“ไม่ต้อง จุดกำยานให้ข้านอนหลับสบายหน่อยเถิด” หานไท่หยางกล่าวแค่นั้นก่อนจะทรุดตัวลงนอน หันหลังให้กับหลินกงกงที่กำลังรมกำยานหอมเพื่อให้ผ่อนคลาย ดูก็รู้ว่าเจ้านายเขานั้นกำลังตื่นเต้นที่จะได้อภิเษกพระชายาเข้าตำหนักอย่างไรเล่า
‘ท่านอ๋องหนอท่านอ๋อง คิดถึงว่าที่พระชายาจนเพ้อขนาดนี้เชียวรึ’
รัชศกเทียนหนี่ปีที่ยี่สิบสอง มงคลฤกษ์พิธีอภิเษกสมรสระหว่างหานไท่หยางกับจางอวิ๋นซี ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ทั่วแคว้นหาน หลิวฮองเฮาสั่งให้ประดับโคมไฟแดงทั่วเมือง มีการเฉลิมฉลองและการละเล่นมงคลมากมาย รวมถึงขนมมงคลและผลไม้มงคลถูกนำมาจัดวางบนโต๊ะของแขกผู้มาเยือนครั้งนี้ มีตั้งแต่ขุนนางระดับเล็กจนถึงขุนนางระดับชั้นผู้ใหญ่ ผ้าม่านสีแดงถูกประดับไปทั่ววังราวกับพิธีอภิเษกของผู้เป็นฮ่องเต้และฮองเฮา
หานไท่หยางในชุดแต่งงานสีแดงหล่อเหลางามสง่า กำลังยืนสำรวจตนเองอยู่ตรงบานกระจกทองเหลือง มีหลินกงกงและเฉินหรงคอยช่วยแต่งอาภรณ์ให้เรียบร้อยและงามสง่าที่สุด อาภรณ์สีแดงนี้ถูกพระราชทานมาจากหานฮ่องเต้ ปักลวดลายมังกรสีทองตัวใหญ่สื่อถึงความเป็นโอรสสวรรค์ ซึ่งสมควรกับฐานันดรศักดิ์ของว่าที่องค์รัชทายาทผู้นี้นัก
แต่ทว่าหานไท่หยางกลับมิได้ให้ความสนใจกับตนเอง เขาให้ความสนใจกับว่าที่พระชายาของเขาที่กำลังจะมาเป็นนายหญิงของวังในไม่ช้า เขายอมรับนักว่าตนเองถูกตาต้องใจนางตั้งแต่แรกเจอที่ตลาดของพวกชาวต่างชาติ จนกระทั่งได้เจอนางอีกครั้งในงานวันพระราชสมภพของไทเฮา คืนนั้นนางงดงามมาก แม้จะแต่งอาภรณ์ลวดลายไม่ฉูดฉาดเท่าจางเซียวหรู แต่กลับงามสะกดใจจนเขาไม่อาจละความสนใจจากนางได้เลย แต่ว่าใครเลยจะล่วงรู้ว่าหานอี้ พี่ชายต่างมารดานั้นก็ให้ความสนใจกับนางเช่นกัน และเมื่อรู้ว่านางได้เจอกับหานอี้โดยบังเอิญ ความหึงหวงและความริษยาที่สุมในอกจึงปะทุขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้
เขาอิจฉาหานอี้ที่เป็นที่โปรดปรานของพระบิดา
เขาอิจฉาที่อีกฝ่ายและพี่น้องคนอื่นๆ ได้อยู่ร่วมกับมารดา แต่ตนเองต้องถูกผลักห่างออกจากอกมารดาร่วมนับสิบปี!
