บทที่ 1 ตอนที่ 1
ไม่อนุญาตให้สแกนหนังสือ
หรือคัดลอกเนื้อหาส่วนใดส่วนหนึ่งของหนังสือ
เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของหนังสือเท่านั้น
นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่สมมติขึ้น
ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องจริงแต่อย่างใด ชื่อบุคคล
และสถานที่ที่ปรากฏในเนื้อเรื่อง ไม่มีเจตนา
อ้างอิงหรือก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ
……….
นิยายเรื่องนี้… ไม่มีแก่นสารสารัตถะอะไรนักหนา
ทั้งเรื่องขับเคลื่อนด้วยอารมณ์อันมืดดำของมนุษย์
ดำเนินเรื่องด้วยตัณหาราคะสุดร้อนแรง
ท่านใดที่ไม่ชอบโปรดหลีกเลี่ยง
เราเตือนท่านแล้ว
“ทาสรักคนเถื่อน”
โดยกาสะลอง
มินตรา หญิงสาวใบหน้าสะสวย อำพรางดวงตาเอาไว้ภายใต้แว่นกันแดดสีดำ เดินย่ำไปบนผืนทรายชุ่มน้ำอย่างไม่รีบร้อน ในมือถือกระดานรองวาดรูป แลเห็นกระดาษสีขาวหลายแผ่น หนีบซ้อนกันเอาไว้ ดินสอ สีน้ำ พู่กัน อุปกรณ์สำหรับเขียนรูป รวมอยู่ในย่ามใบเก่าที่ตัดเย็บด้วยผ้าดิบสีขาวขุ่น คล้องเอาไว้ที่หัวไหล่กลมกลึง ลัดเลาะมาถึงเนินหินสีดำเตี้ยๆที่ผุดพ้นผืนทรายตรงหน้าขึ้นมาตะปุ่มตะป่ำ เล็กบ้างใหญ่บ้าง สลับไปเป็นช่วงๆกับผืนทรายสีขาวที่โอบเวิ้งน้ำเบื้องหน้าเอาไว้ในอ้อมกอด
“สวยเหลือเกิน…” มินตรารำพึงขึ้นมาลอยๆ กับทัศนียภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า
จากจุดที่เธอยืนอยู่ แลเห็นแสงแดดสาดกระทบผืนทรายจนแลดูเป็นสีขาว ในยามที่แสงแดดสะท้อนน้ำสะท้อนทราย เปลือกหอยสีขาวมากมาย กลาดเกลื่อนเหมือนมีใครหว่านเอาไว้ สาดประกายระยิบระยับไปทั่วทั้งหาด เหมือนมีเกล็ดพลอยเจือผสมเป็นส่วนหนึ่งของเม็ดทรายสะอาดเหล่านั้น
“หากสวรรค์บนดินมีจริง ที่แห่งนี้ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์แห่งหนึ่ง”
มินตราสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดเฮือกใหญ่ หยุด แล้วคว้าสมุดโน้ตเล่มเล็กๆออกมาจากย่าม เขียนบางอย่างราวสองสามประโยคลงไปบนหน้ากระดาษ จากนั้นจึงก้าวต่อ
“เรื่องสำบัดสำนวน ไม่มีใครเกินเธอจริงๆยัยมิน” ดาริน เพื่อนสาวที่ก้าวตามมาข้างหลัง กล่าวชมออกมาเบาๆ หากเธอก็คุ้นชินเสียแล้ว กับภาพของมินตราที่มักจะพกสมุดโน้ตเล่มเล็กๆติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา
และหลายครั้งที่มักจะเห็นมินตราหยิบสมุดโน้ตออกมาจากย่าม บางครั้งก็หยุดกะทันหัน จนเพื่อนที่เดินตามมาข้างหลังเกือบเบรกไม่ทัน ทุกครั้งที่มินตรารีบจดบันทึกสิ่งที่สะดุดเข้ามาในเสี้ยวคิดโดยบังเอิญ ราวกับกลัวว่าหากทิ้งเอาไว้นาน ความคิดเหล่านั้นจะปลิวหายไปกับสายลมเสียก่อนที่เธอจะบันทึกเอาไว้ แต่นั่นก็สมกับความที่มินตราเป็นนักเขียน ทำให้บุคลิกภาพบางอย่างฉายชัด ในความเป็นตัวตนของเธอ
มินตราเริ่มเขียนนิยายเมื่อไม่นานมานี้ เริ่มจากมีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเห็นแววความเป็นนักเขียนของเธอเข้าโดยบังเอิญ จึงแนะนำให้มินตราลองเขียนนิยายลงในเวปไซต์นิยายออนไลน์แห่งหนึ่ง มินตราเขียนไปได้ค่อนเรื่อง ใช้เวลาเขียนอยู่สองเดือนกว่า เพราะความคาดหวังว่านิยายจะได้ตีพิมพ์เป็นรูปเล่ม ทำให้ช่วงเวลานั้นจึงดำเนินไปด้วยความมุ่งมั่นฝันใฝ่ แต่ก็ยังไม่มีสำนักพิมพ์ไหนติดต่อขอต้นฉบับเพื่อไปตีพิมพ์
ในวันที่มินตราเริ่มถอดใจ ระทดท้อจนเกือบจะหยุดเขียนนิยาย ขณะที่เธอกำลังตัดสินใจว่าอาจจะต้องละทิ้งความฝันที่อยากเป็นนักเขียน เพื่อไปทำสิ่งอื่นซึ่งมีโอกาศเป็นจริงได้มากกว่า ทว่าอยู่ๆก็มีบรรณาธิการของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งบังเอิญมาเห็นนิยายที่เธอเขียน ด้วยเอกลักษณ์ในการเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนใคร และสำนวนภาษาซึ่งหาไม่ได้ในนักเขียนนวนิยายโรมานซ์รุ่นใหม่ๆ ทำให้ต้นฉบับของมินตราได้รับการติดต่อเพื่อตีพิมพ์ นับเป็นอีกหนึ่งความฝันที่มินตราไขว่คว้าเอาไว้ได้ ในวันที่เกือบปล่อยให้มันหลุดลอยไปกับความท้อแท้
‘ยัยโก๊ะ’ เป็นคำที่มินตรายอมรับว่ามันเหมาะสมกับตัวเธอ สมัยที่ยังเรียนหนังสือ หลายๆครั้งที่เพื่อนๆมักจะใช้คำนี้เพื่อนิยามบุคลิกภาพบางอย่างของเธอ ทว่าด้วยดวงตาของเธอที่เปี่ยมไปด้วยหยาดแววชีวิตอย่างคนมองโลกในแง่ดี ความมีชีวิตชีวา น่ารัก เป็นธรรมชาติ รอยยิ้มสดใส ไมตรีจิตและความจริงใจที่เธอแสดงออกต่อผู้คนรอบข้าง ทำให้ผู้คนมองข้ามความ ‘โก๊ะ’ ของเธอไปโดยปริยาย ซึ่งมินตราก็ไม่เคยถือโทษโกรธเคืองเพื่อนๆ แถมยังยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน ในความกระโดกกระเดกของตัวเอง
“มิน!...ระวังจะลื่น ดูทำเข้าสิ เล่นเป็นเด็กไปได้” ดารินตะโกนเสียงดัง รีบเตือนเพื่อนสาว เมื่อเห็นมินตรากระโดดโลดเต้นไปตามก้อนหินตะปุ่มตะป่ำด้วยความรู้สึกใจหาย หวาดเสียวแทนว่าเพื่อนอาจจะหกคะมำคว่ำคะเมนเอาง่ายๆ กับตะไคร่เขียวที่เคลือบอยู่ตามโขดหิน
แม้มินตราจะอยู่ในวัยสาวสะพรั่งก็จริง ทว่าบางครั้งเธอก็ยังเหมือนเด็กผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความซุกซน ยังโหยหาความสนุกแบบเด็กๆ อดใจเอาไว้ไม่ไหวที่จะก้าวเหยียบไปตามก้อนหินเหล่านั้นด้วยความสนุกสนาน
“อากาศดีมากเลย” มินตราเปรยขึ้นลอยๆ เขย่งปลายเท้า เชยใบหน้าสวยขึ้นสูดกลิ่นเค็มและคาวทะเลที่ผสานเป็นส่วนหนึ่งของเกลียวคลื่น ในขณะหนึ่งของกระแสลมที่หอบเอาเอาระลอกคลื่นส่งต่อกันมาเป็นทอดๆจากห้วงอันดามันอันไกลโพ้น
