บทที่ 4 ได้โปรดยั้งมือ

ม่านซือซือขยับไปอยู่อีกมุมของรถม้า นางไม่พูดกับใคร และพยายามหาทางคายยาเม็ดลูกกลอน ในยามนั้นทั้งปากรู้สึกขมจัด มีกลิ่นเหม็นเอียนๆ ลอยอบอวล นางจึงตัดสินใจที่จะอาเจียนเพื่อให้ตนไม่ถูกมอมยา

“ขะ ข้าไม่ไหวแล้ว ได้โปรดหยุดรถ!” เสียงของนางเหมือนไม่ได้ลอดออกไปข้างนอก แต่นางไม่ยอมแพ้ นางใช้สองมือเอื้อมไปเปิดผ้าม่านด้านหน้า ตั้งใจบอกคนควบคุมรถม้าที่สวมหน้ากากขาว

“หยุดรถได้หรือไม่พี่ชาย”

เป็นตอนนั้นที่นางต้องเอะใจ ยามนี้คนบังคับรถม้ากลับเป็นผู้ชายร่างผอม และมีอีกคนที่สูงชะลูดหน้าแป้น ทั้งคู่ไม่ได้สวมหน้ากาก และหาใช่ชายผิวขาวดุจหิมะคนเดิมที่นางเห็นครั้งแรก

“อย่าก่อเรื่อง ไม่อย่างนั้นข้าจะจับเจ้าโยนลงไปข้างล่าง”

เมื่อถูกตวาดใส่ ม่านซือซือจึงกลั้นใจแล้วโก่งคออาเจียนออกมา  กองใหญ่ นางถูกสตรีคนอื่นในรถม้าตำหนิอยู่บ้าง แต่ไม่นานทุกคนก็เงียบดังเดิม ด้วยพวกนางต่างคิดไม่ตกว่า ต่อจากนี้ชีวิตต้องพบเรื่องเลวร้ายใดบ้าง

ม่านซือซือกอดตัวเองแน่น พลางคิดถึงเรื่องเมื่อสองคืนก่อน ซึ่งมันอาจเป็นสาเหตุที่ม่านเจิ้นขายนางให้แก่คฤหาสน์สัตตบงกช

ในคืนเทศกาลโคมไฟของเมืองเล็กๆ นี้ ม่านซือซือลอบไปพบเอี๊ยะถัง เขาคือบุรุษที่เป็นถึงมือปราบของเมืองกุ้ยโจว อีกฝ่ายมีใจต่อนางและออกปากกับผู้ใหญ่ในสำนักมือปราบให้มาสู่ขอนางกับม่านเจิ้น ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยกองอักษรที่ทำงานอยู่ในศาลต้าเหลียง ทว่าม่านเจิ้นไม่ชอบขี้หน้าอีกฝ่าย ด้วยเอี๊ยะถังเป็นคนแข็งกระด้าง พูดจาไม่ไว้หน้าใคร อีกทั้งมักดื่มเหล้าและท้าตีท้าต่อยผู้คนไปทั่ว ในอดีตเขามีภรรยามาสองคนตอนนี้ยังเป็นพ่อม่ายลูกติด กระนั้นม่านซือซือก็ยังหลงคารมอีกฝ่าย นางก็มิต่างกับหญิงสาวแรกรุ่นทั่วไป เมื่อถูกชายเจ้าคารมเกี้ยวเข้าหน่อยใจเลยอ่อนยวบปานขี้ผึ้งถูกไฟลน อีกทั้งเขามักเล่าเรื่องเมืองหลวงให้นางฟังรวมถึงหาหนังสือกับตำราสมุนไพรต่างๆ มาให้นางศึกษามิขาด ม่านซือซือเลยชอบเอี๊ยะถังกว่าใคร

“พี่ถังเป็นคนขยันขันแข็ง ไม่ช้าเขาคงได้เป็นหัวหน้ามือปราบแน่นอนท่านพ่อ”

ม่านเจิ้นส่ายหน้าระอาความคิดตื้นเขินของบุตรสาว การส่งเสริมให้นางอ่านออกเขียนได้เป็นดาบสองคมโดยแท้ แทนที่นางจะเชื่อฟังเขา กลับหาเรื่องมาต่อล้อต่อเถียงและคิดว่าตนเฉลียวฉลาด หากในความจริงลูกสาวคนที่ห้าของเขากลับไม่ประสีประสาต่อโลกนี้

“เหลวไหล คนอย่างมันประจบใครยังไม่เป็น และยังชอบเดินขัดขาขุนนางในเมืองไปทั่ว”

ม่านเจิ้นเอ่ยเช่นนั้นนับว่าถูกต้อง เอี๊ยะถังเป็นชายซื่อ สัตย์ยึดมั่นในคุณธรรม เขาไม่อาจทนเห็นคนเดือดร้อนด้วยการถูกขุนนางกังฉินข่มเหง

“ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงคิดว่าเขาไม่เหมือนชายใด”

“ซือซือ จำคำพ่อให้ดี ผู้ชายอย่างเขาหากเจ้าอยู่ใกล้มีแต่จะพบความผิดหวัง พ่อเลี้ยงเจ้ามาไม่เคยให้ลำบาก ไฉนถึงได้คิดน้อย อยากเอาชีวิตไปฝากกับบุรุษอย่างเอี๊ยะถัง”

ม่านซือซือไม่ได้เอ่ยค้านบิดา นางเพียงพยักหน้ารับ แต่ในใจคิดแผนที่จะลักลอบออกไปพบเอี๊ยะถัง

แม้รู้ว่าไม่ถูกต้อง ทว่านางกระทำเรื่องเช่นนี้มาหลายหน และคืนนี้เป็นเทศกาลโคมไฟ เป็นช่วงเวลางดงามเต็มไปด้วยความสว่างไสว

ม่านซือซือไม่เคยหลงรักชายใดมาก่อน ทว่าหลังจากได้พบกับเอี๊ยะถัง หัวใจสาวจึงไหวโอนต่อคำพูดและน้ำเสียงเขา เรือนกายสูงใหญ่ที่มอบพลังหยางสู่ร่างกายนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้นชวนให้หลงใหล

เอี๊ยะถังเป็นชายรูปงาม ผิวเข้ม กล้ามเนื้อแน่น ตลอดระยะเวลา ที่ผ่านมาเขาไม่เคยล่วงเกินนาง ทว่าคืนนี้ดูเหมือนนางจะประมาทเกินไป แต่ม่านซือซือก็อยากริลองเรื่องแปลกใหม่ระหว่างชายหญิง สิ่งเหล่านี้นางได้เห็นจากสมุดภาพ และเรื่องเล่าจากสาวๆ ที่นางนำแป้งทาผิวพอกหน้าไปให้ สตรีบางคนมักพูดถึงเรื่องบนเตียง รวมถึงอวดลึงค์ไม้กับกัวซาหัวเห็ดให้นางดูอยู่บ่อยๆ จึงทำให้ม่านซือซือรู้ว่าความสุขสมระหว่างชายและหญิงมหัศจรรย์เพียงใด

“พี่ชิมปากของเจ้าได้หรือไม่” เอี๊ยะถังกระซิบข้างหูนาง ปลายจมูกโด่งคลอเคลียต้นคอระหงกับใบหูสวยไม่ห่าง

“โอ้ พี่ถัง มันไม่ถูกต้อง ข้าเป็นสตรี อีกอย่าง ใกล้ชิดกันมากถึงเพียงนี้ย่อมเป็นข้าที่เสียหาย” นางบอกเขา หากในใจลิงโลดเหลือเกินจะให้ทำเยี่ยงใดได้ เขารูปงามอีกทั้งป้อนคำหวานแก่นางไม่หยุดหย่อน

“แต่อีกไม่กี่วัน แม่สื่อที่ใต้เท้าแห่งสำนักมือปราบจัดหาไว้จะถูกส่งตัวไป และเจ้าย่อมได้เป็นฮูหยินของพี่เป็นแน่แท้” เขาให้คำสัญญา

“ถึงอย่างนั้น พี่ถังควรให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อนไม่ดีกว่าหรือ”

เอี๊ยะถังเงียบ เขามองสตรีรูปร่างอรชรซึ่งมีเสน่ห์เย้ายวน นางงามมากล้นด้วยแรงสิเน่หาที่ส่งมาให้เขาหลงใหล ซึ่งตั้งแต่แรกพบเขาก็ไม่อาจหันเหหัวใจไปทางอื่น พ่อม่ายลูกติดอย่างเขาไม่ได้ฝันเกินเอื้อม นางเป็นลูกของอนุที่ตายไปแล้ว การได้ตบแต่งกับชายที่มีหน้าที่การงานดีนับว่า เป็นเกียรติ

บทก่อนหน้า
บทถัดไป