บทที่ 15 ก้าวแรกของผู้ฝึกตน 3 (จบ)

“หากทำการปลุกพลังวิญญาณในช่วงอายุที่มากขึ้นเท่าไหร่ความเจ็บปวดในขณะนั้นก็จะทวีเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน...ในยามนี้เจ้าอายุสิบสี่ปีถือว่าเกือบถึงเกณฑ์กำหนดในการปลุกพลังวิญญาณแล้ว หากว่าไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ เจ้าจะรับมือกับความผิดหวังอีกครั้งได้หรือไม่เล่า?" เยว่ซิถามกลับไปให้อีกฝ่ายได้ตัดสินใจอีกครั้ง

“ท้ายที่สุดแล้วจะสมหวังหรือผิดหวังก็ตามตัวข้าล้วนยอมรับด้วยความเต็มใจ แต่หากว่าข้าสามารถปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จและกลายเป็นผู้ฝึกตนที่มีความแข็งแกร่งเหนือผู้คนทั่วไปจนสามารถปกป้องตัวเองและดูแลท่านแม่ได้ต่อให้เส้นทางเดินหลังจากนี้ต้องพบเจอความเจ็บปวดหรืออุปสรรคเพียงใดข้าก็ยินดีทั้งสิ้นขอรับ!” หนิงอ้ายเอ่ยตอบกลับมารดาด้วยความหนักเเน่นไม่หวั่นไหว

“อย่างไรก็ตามแต่ใช่ว่าทุกคนที่จะโชคดีสามารถใช้ถึงสองปราณธาตุได้เพราะถึงแม้ว่าจะได้รับปราณธาตุจากฝั่งบิดามารดาของตนก็จริง แต่หากเกิดความไม่สมดุลกันก็จะสามารถใช้ได้เพียงแค่ปราณธาตุเดียว ส่วนอีกหนึ่งนั้นจะกลายเป็นปราณธาตุรองที่ต้องอาศัยโอสถระดับสูงในปลุกกระตุ้นให้สามารถใช้งานได้ไม่ต่างกับปราณธาตุหลัก” เย่วซินค่อย ๆ อธิบายให้หนิงอ้ายให้เข้าใจด้วยความใจเย็นเปรียบดั่งอาจารย์ที่กำลังสั่งสอนลูกศิษย์

พรึบ!

วูบ!

วิญญาณยุทธ์บุปผาอัปสราเหมันต์อัคคี สถิตร่าง!!!

เยว่ซินยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเป็นท่วงท่าที่สวยงามพร้อมกับปลดปล่อยพลังวิญญาณของตนเองออกมา ก่อนที่จะปรากฏวงแหวนเวทย์อักขระเปล่งแสงรัศมีขึ้นโดยรอบพื้นที่ยืนอยู่ เหนืออุ้งมือซ้ายของนางได้ปรากฎเป็นบุปผาเพลิงสีเหลืองส้มขนาดเท่ากับลูกแก้วสามดอกที่ลอยวนไปโดยรอบฝ่ามือ คลื่นความร้อนระอุได้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งบริเวณนี้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

“ราชทินนามของมารดาคือจักรพรรดิวิญญาณสายโจมตีระดับที่39 นี่คือวิญญาณยุทธ์บุปผาอัปสราเหมันต์อัคคีเป็นปราณธาตุไฟสายโจมตี เเต่ละปราณธาตุจะเเบ่งระดับความเข้มข้นออกเป็นสามขั้น สีเหล่านี้จะบ่งบอกได้ถึงความเเข็งแกร่งที่ถือครองอยู่”

“นอกจากนี้แล้วผู้ฝึกตนยังสามารถดูดซับผลึกปราณธาตุเพื่อเพิ่มความเเข็งแกร่งของปราณธาตุต้นกำเนิดของตน และหากดูดซับกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรเข้ากับร่างกายก็จะสามารถเรียกใช้ทักษะความสามารถของสัตว์อสูรมาผสานเข้ากับการต่อสู้ได้เช่นกัน ซึ่งต้องเลือกกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรที่มีอายุสอดคล้องกับระดับพลังวิญญาณของตนด้วย เพราะหากว่ามีการประสานกระดูกวิญญาณที่มีอายุมากและข้ามระดับมากเกินไปก็อาจจะเกิดอันตรายชีวิตเลยทีเดียว...” เยว่ซินมองหน้าเด็กหนุ่มในขณะที่อธิบายพร้อมกับระบายยิ้มเล็กน้อย เพราะนางสัมผัสได้ว่าบุตรของนางมีชะตาที่รุ่งโรจน์เหนือกว่าผู้ใดจะก้าวข้ามถึงเขตขั้นนั้นได้เสมอเหมือน

“ผู้ฝึกตนสามารถเลือกเพิ่มคุณสมบัติลงไปในวิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดได้ เช่นการเสริมความแข็งแร่งของร่างกาย การเพิ่มความทนทาน ความยืดหยุ่น แน่นอนว่าย่อมมีตัวเลือกมากมายที่จะเลือกใส่ลงไปในวิญญาณยุทธ์...”

“สุดท้ายแล้ว...ไม่ว่าวิญญาณยุทธ์จะเป็นปราณธาตุใด ล้วนขึ้นอยู่กับวิธีการฝึกฝนและเส้นทางที่เราเลือกเดินทั้งสิ้น!”

“มารดาของเจ้าในยามนี้มิได้เชี่ยวชาญในเชิงยุทธ์ดั่งเช่นวันวานแล้ว แต่ถึงอย่างไรมารดาของเจ้าผู้นี้ได้รับมอบสมบัติของตระกูลหวังที่ส่งต่อกันมา คงถึงเวลาที่ต้องส่งมอบให้กับเจ้าเสียที...” เยว่ซินตอบกลับไปแต่ท้ายประโยคนั้นคล้ายกับว่าคุยกับตัวเองเสียอย่างนั้น

“กลับเข้าเรือนกันเถิด...มารดายังต้องเตรียมสิ่งของที่ท่านตาเจ้ามอบให้สำหรับการปลุกพลังวิญญาณให้กับเจ้า” หนิงอ้ายที่ตอนนี้พยายามเรียบเรียงข้อมูลและทำความเข้าใจในสิ่งที่ตนได้ฟังเมื่อสักครู่ เมื่อเห็นว่ามารดาเดินไปยังเรือนเล็กไปไกลแล้วเขาจึงเร่งความเร็วเดินตามไปในทันทีด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ใบหน้างดงามฉายรอยยิ้มเปล่งประกายถึงความสุขที่เอ่อล้นจนบ่าวรับใช้ในเรือนก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกดังกล่าวนี้ได้อย่างชัดเจน

บ่าวรับใช้ที่อยู่โดยรอบของศาลาริมสระบัวเมื่อครู่ที่ได้ยินบทสนทนาของนายของตนทั้งสองต่างรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะทุกคนล้วนอยู่ในเหตุการณ์เมื่อเจ็ดปีที่แล้วตอนที่คุณชายของตนไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ นอกจากจะทำให้คุณชายน้อยเสียใจแล้วจากที่เคยเป็นเด็กที่ร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใสเเต่กลับสุขภาพแย่ลงอีกทั้งยังกลายเป็นเด็กที่เงียบขรึมแทบไม่มีรอยยิ้ม เอาแต่ศึกษาตำราอยู่แต่ในห้องบางครั้งก็นั่งอยู่ตรงศาลาริมสระบัวทั้งวัน

อีกทั้งยังถูกนินทาจากบ่าวรับใช้ในเรือนอื่นในจวน แทบจะไม่มีความเคารพคุณชายของตนเสียด้วยซ้ำ เคราะห์ดีเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหลังจากที่คุณชายไม่สบายและหายฟื้นจากไข้ ครั้นเมื่อตื่นขึ้นมาถึงแม้จะพูดจาแปลก ๆ ไปบ้างแต่ก็กลับมาร่าเริงมีรอยยิ้มและซุกซนสมวัยอีกครั้ง นับว่าเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก...

บทก่อนหน้า
บทถัดไป