บทที่ 9 สวะตระกูลจาง 3 (จบ)
ประมุขจางกลับมาจากสำนักศึกษาและรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น อีกฝ่ายไม่ได้ให้ความยุติธรรมใด ๆ กับหนิงอ้ายทั้งสิ้น บิดาสารเลวนั่นให้เหตุผลว่าเป็นการเล่นของพี่น้องเพียงเท่านั้นอย่าได้ถือสาเอาความผิด เพราะตัวคนก็ปลอดภัยไม่เป็นอะไรแล้ว สำหรับคุณหนูใหญ่รวมไปถึงพี่น้องที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างขอสำนึกตนอยู่ในเรือนเป็นเวลาเจ็ดวัน บ่าวไพร่ที่อยู่ในบริเวณต่างถูกลงหวายคนละสามสิบไม้แล้วจึงไม่ควรทำให้เรื่องราวใหญ่โตเกินที่จะเป็น
เมื่อฟังคำกล่าวจบมารดาของเขาจึงตัดสินใจขอย้ายออกจากเรือนหลักไปอยู่เรือนอื่นในทันที แต่แทนที่บิดาจะกล่าวห้ามกลับมีโทสะพร้อมกับไล่ให้ย้ายออกไปที่เรือนเล็กท้ายจวน พร้อมกับยึดบ่าวรับใช้ดูเเลในเรือนเกือบทั้งหมดและมอบอำนาจฮูหยินใหญ่เกือบทั้งหมดให้ฮูหยินรอง
อีกทั้งอนุญาตให้มีบ่าวติดตัวไปเพียงไม่กี่คน เยว่ซินได้กล่าวขอสินสมรสเดิมของตนพร้อมกล่าวว่าจะไม่มาวุ่นวายกับเรือนหลักอีกเด็ดขาด จากนั้นนานนับปีจางเลี่ยงหวงก็ไม่เคยมายังเรือนเล็กติดป่าไผ่นี้เลยสักครั้ง เบี้ยหวัดรายเดือนสวัสดิการก็ไม่มอบให้คล้ายกับตัดขาดกันไม่ข้องเกี่ยวกันอีก
แต่เพราะร่างกายนี้ไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้วประกอบกับสำลักน้ำเข้าไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งฮูหยินรองคอยรั้งท่านหมอประจำตระกูลให้รักษาบุตรของตนที่อยู่ ๆ ก็ไม่สบายในขณะนั้น พ่อบ้านจึงทำได้เพียงส่งผู้ช่วยหมอประจำตระกูลไปตรวจสอบรักษาดูแลอาการซึ่งทำได้เพียงต้มสมุนไพรไล่ไอเย็นในร่างเท่านั้น สุดท้ายหนิงอ้ายก็ดีขึ้นแต่ก็แลกมากับร่างกายที่อ่อนแอกว่าเดิมมาก
เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีร่างกายของจางหนิงอ้ายนี้ก็สามวันดี สี่วันไข้ ทางฝั่งของเยว่ซินและบ่าวรับใช้ในเรือนเล็กต่างทราบดีว่าคุณชายใหญ่ของตนนั้นหลังจากที่ฝืนรักษามาหลายเดือนจนในที่สุดก็ได้ ร่างกายบอบบางนั้นต่อต้านการรักษาในทุกวัน
จนในคืนหนึ่งที่เงียบสงบหนิงอ้ายรู้สึกเเน่นหน้าอก ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ไม่มีแม้กระทั่งเสียงที่จะเอ่ยเรียกมารดาของตนเพื่อที่จะร่ำลาเสียด้วยซ้ำสุดท้ายเเล้วเมื่อทนไม่ไหวลมหายใจค่อย ๆ แผ่วหายไปจากโลกนี้ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันที่หนิงอ้ายได้ตายลงจากโลกเดิมจากการถูกเพื่อนสนิทฆ่าตายวิญญาณจึงมาอยู่ในร่างนี้เเทนพอดี…
จากความทรงจำอื่น ๆ ก็พบว่าหนิงอ้ายถือว่ารอบรู้หนังสือเข้าขั้นอัจฉริยะเชี่ยวชาญศิลปะทั้งสี่ เพราะว่ามารดาสอนตั้งแต่ยังเด็กแต่อ่อนด้านวรยุทธ์เพราะร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่เด็ก ซ้ำยังป่วยไข้จากเหตุการณ์ตกน้ำก่อนหน้านี้อีกจึงส่งผลให้ไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนได้
แม้จะบอกมารดาเสมอว่าตัวเองไม่คิดมากแต่ในใจกลับคิดว่าตัวเองไม่มีค่าไร้ประโยชน์ เป็นดั่งสวะของตระกูลตามที่ทุกคนได้กล่าวถึง เป็นที่อับอายของตระกูล นับว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ติดอยู่ในใจของจางหนิงอ้ายคนเก่าจนเขานั้นสัมผัสได้
ในมหาทวีปบูรพาแห่งนี้ประกอบไปด้วยสี่แคว้นหลักคือ แคว้นเต่าดำ ซึ่งอยู่ทาง ทิศเหนือ สัญลักษณ์เป็นรูปเต่าสีดำธาตุน้ำ ฤดูหนาว แคว้นหงส์แดง ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ สัญลักษณ์เป็นรูปหงส์สีแดง ธาตุไฟ ฤดูร้อน แคว้นมังกรเขียว ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก สัญลักษณ์เป็นมังกรสีเขียว ธาตุไม้ ฤดูใบไม้ผลิ แคว้นเสือขาว ซึ่งอยู่ทาง ทิศตะวันตก สัญลักษณ์เป็นเสือสีขาวธาตุทอง ฤดูใบไม้ร่วง (แคว้นทั้งสี่แคว้น ประจำสี่ทิศ อ้างอิงจากตามคติความเชื่อลัทธิเต๋า)
อีกทั้งโลกนี้ไม่ใช่โลกปกติแต่เป็นโลกจีนโบราณแฟนตาซีที่ผู้คนต่างสามารถเข้าสู่วิถีของการเป็นผู้ฝึกตนได้โดยที่จะต้องมีการปลุกพลังวิญญาณและปราณธาตุในตัวเสียก่อน โดยปกติจะมีการทดสอบดังกล่าวนี้เมื่อมีอายุเจ็ดปีและต้องไม่เกินสิบห้าปี
เพราะเมื่อมีอายุมากขึ้นความยากในการปลุกพลังวิญญาณก็จะทวีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แน่นอนว่ามีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับการยอมรับและเป็นที่ยำเกรง และอายุของผู้คนล้วนยืนยาวไปตามระดับฝึกตนที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้บนแผ่นดินในทุกแคว้นยังมีสำนักฝึกตนมากมายแบ่งเป็นฝั่งธรรมมะ ฝั่งอธรรม ฝั่งอสูร ที่ต่างครอบครองพื้นที่ปกครองอย่างไม่ข้องเกี่ยวกันอีกด้วย หลังจากที่เขาได้รู้เรื่องราวทั้งหมดผ่านความทรงจำจึงเริ่มวางแผนการในใจถึงวันข้างหน้าของตน...
