บทที่ 10 จะไม่ตามไปจริงๆ เหรอ
ทว่าเมื่อได้พบกับ ‘พี่หลิ่งหลิน’ ชีวิตนางก็เปลี่ยนไป แม้จะไม่รู้ว่า ‘พี่หลิ่งหลิน’ ของนางเป็นใคร ทำอะไรกันแน่ แต่ก็รู้สึกว่านางเป็นคนดีที่เชื่อใจได้ นางจะเชี่ยวชาญการรักษาที่บิดาถ่ายทอดความรู้ให้ ทว่านางกลับอ่อนด้อยเรื่องทิศทางยิ่งนัก นางเป็นคนที่จำเส้นทางไม่ค่อยเม่นยำมักหลงทางอยู่บ่อยๆ เพราะอย่างนี้นางจึงไม่ค่อยออกไปไหน เพราะเกรงตัวเองจะเป็นภาระผู้อื่น แต่เมื่อเคอหลิ่งหลินมาหานางจึงได้ไปโน้นไปนี่บ่อยขึ้น โดยเฉพาะขึ้นเขาหาสมุนไพรให้บิดา
“อยากเห็นผู้ชายที่ทำให้พี่หลิ่งหลินฝึกเพลงขลุ่ยจริงๆ”
มู่ฟางเหนียงยิ้มแล้วลุกขึ้นไปหน้าบ้านซึ่งเป็นทั้งโรงหมอและที่พักอาศัย ปีนี้นางอายุสิบหกแล้วมีแม่สื่อมาทาบทามหลายครั้งแต่นางก็ยังอยากอยู่กับบิดาเช่นนี้ และบิดาก็ตามใจนาง
สักวันนางคงเจอใครสักคน ที่ทำให้นางอยากบรรเลงเพลงขลุ่ยแสนหวาน เหมือนอย่างที่พี่หลิ่งหลินก็เป็นได้.
หญิงสาวในชุดเสื้อผ้าเนื้อหยาบเดินเร็วๆ ตามแผ่นหลังของท่านหมอมู่โดยรักษาระยะห่างไม่เข้าใกล้จนอีกฝ่ายรู้ตัว แค่เพียงคิดถึงคุณชายเฉินผู้ที่มักจะอยู่ในชุดสีขาวปักลายเมฆผู้นั้น ใบหน้าของเคอหลิ่งหลินก็ปรากฏรอยยิ้มอย่างมิรู้ตัว คุณชายผู้งามสง่าและมีแววตาอ่อนโยนอยู่เสมอกลับมีร่างกายอ่อนแอ
เขามักเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้งซึ่งไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก ทว่าทุกครั้งที่เขาต้องมาพักฟื้นร่างกายจะเดินทางมาพักบ้านสกุลเหวินซึ่งเป็นเศรษฐีมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่เรื่องอื่นใดนั้นเคอหลิ่งหลินหาได้สนใจไม่ จิตใจของนางอยู่ที่คุณชายเฉินเพียงผู้เดียว
เมื่อสองปีก่อน เพิ่งเสร็จศึกขับไล่พวกชนเผ่าที่หมายจะแผ่อาณาเขตเข้ามา ใช้เวลานานเกือบเดือนจนขับไล่ร่นให้กลับไปที่เดิมได้ ขณะนั้นนางยังไม่ได้พบกับมู่ฟางเหนียง ท่านแม่มักจะเชิญครูมาช่วยสอนนางเล่นดนตรีบ้าง แต่งโคลงกลอนบ้าง วาดรูปบ้าง นอกจากเพลงกระบี่แล้วดูท่านางเอาดีไม่ได้เรื่องพวกนี้ได้เลย หลังจากฝึกซ้อมกับเหล่าทหารแล้ว นางอยากไปเดินเล่นให้ตนเองผ่อนคลายบ้าง จึงตัดสินใจเดินดูข้าวของในตลาด ระหว่างทางหญิงสาวได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
“ใครก็ได้ช่วยจับโจรวิ่งราวที”
เคอหลิ่งหลินผู้ซึ่งทนเห็นใครเดือดร้อนไม่ได้ นางกระโดดเข้าขวางชายร่างใหญ่ ใช้เพียงกระบี่ไม้ไผ่ที่พกติดตัวอยู่เสมอ ชักออกมาขู่อีกฝ่าย แต่กลับเรียกเสียงหัวเราะของมัน
“แค่กระบี่ไม้ไผ่ คิดจะขู่ให้ข้ากลัวเรอะ”
“ข้าไม่ได้แค่คิด แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องกลัวกระบี่ของข้า” เคอหลิ่งหลินพลิกข้อมือสะบัดกระบี่ไม้ไผ่ในมือพุ่งใส่ชายร่างยักษ์ แม้จะเป็นเพียงกระบี่ไม้ไผ่ ทว่าเมื่อผสานไปกับวรยุทธที่นางฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กทำให้กระบี่ไม้ส่งพลังกระแทกอีกฝ่ายจนหงายหลังกระเด็นไปก้นกระแทกพื้น
“โอ๊ย!”
“ขออภัยพี่ชาย ข้ามิทันออมมือให้” นางกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์
“ข้าเผลอหรอก” มันลุกขึ้นได้ก็พุ่งตัวเข้าใส่ แต่เข้ามาได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกกระบี่ไม้ไผ่ของเคอหลิ่งหลินเล่นงานจนหมอบราบคาบและยอมคืนถุงเงินให้
“ไม่ทำตัวเป็นโจรเป็นขโมยก็ไม่เจ็บตัวอย่างนี้หรอก” นางอดสั่งสอนไม่ได้ รับถุงเงินมาแล้วหมุนตัวมองหาเจ้าของถุงเงิน นางได้ยินเสียงผู้หญิงวัยกลางคนตะโกนเรียกจึงมองหาคนที่น่าจะเป็นเจ้าของ
“ของท่านป้าใช่ไหมเจ้าคะ” หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อเห็นหญิงวัยสี่สิบยืนมองถุงผ้าใส่เงินในมือของเธอ
“ขอบใจแม่นางมากนะ” นางยื่นมือมารับ
“ไม่เป็นไรๆ เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
เคอหลิ่งหลินหัวเราะปากกว้างแล้วยกหลังมือเช็ดเหนื่อย นางไม่ได้เหนื่อยเพราะสู้กับเจ้าโจรกระจอก แต่เพลียที่ซ้อมหมัดมวยกับพวกทหารต่างหาก แต่สายตาของนางเหลือบไปเห็นชายแขนเสื้อที่หลุดรุ่ย นางยกแขนขึ้นระดับสายตาแล้วหัวคิ้วก็ขมวดยุ่ง เอาแล้ว นางต้องโดนท่านแม่ดุแน่ๆ แม้นางออกจากบ้านจะสวมเสื้อผ้าเนื้อหนาชุดเก่าๆ เพราะนางชอบเผลอชายผ้าไปเกี่ยวโน้น เกี่ยวนี่ตลอดจนชุนเอ๋อร์ต้องคอยลำบากซ่อมเสื้อผ้าให้เสมอ
“แย่จริง เสื้อของแม่นางขาด”
“เรื่องเล็กน้อย”
ไม่หรอก มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะนางไม่ชอบเย็บผ้า และนางเกรงใจชุนเอ๋อร์ แม้ว่าชุนเอ๋อร์มีหน้าที่ดูแลนางก็เถอะ อาจเพราะครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ จึงทำให้ใบหน้าของนางขมวดคิ้วดูกังวลเกินเหตุ
“ให้พวกเราได้เลี้ยงน้ำชาแม่นางเป็นการตอบแทนดีไหม ระหว่างนั้นแม่นมเหมยจะช่วยซ่อมเสื้อที่ขาดให้เจ้าเอง”
น้ำเสียงอ่อนโยนที่เอ่ยขึ้นทำให้เคอหลิ่งหลินหันไปมอง นางคุ้นชินกับเสียงผู้ชายที่ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ซ้ำยังไม่เคยเจอใครพูดจาน้ำเสียงน่าฟังอย่างนี้กับนางทำให้นางเผลอมองเขาอย่างตื่นตะลึง แม้สวมเสื้อผ้าเรียบง่ายแต่เนื้อผ้าอย่างดีและถือพัดในมือ ทำให้รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา เมื่อเขาขยับเท้าเข้ามาใกล้ก็ทำให้เคอหลิ่งหลินรู้ว่าเขาสูงกว่านางมาก แต่รูปร่างผอมบางและผิวขาวซีดไปเสียหน่อย
“ข้าบอกว่าไม่เป็นไร ก็คือไม่เป็นไร” นางโบกไม้โบกมือไปมา ดูสารรูปตัวเองซิ! เป็นผู้หญิงแท้ๆ ยังงดงามไม่ได้เพียงเสี้ยวของผู้ชายตรงหน้าเลย
“เอาเถิด...หากแม่นางไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร พวกเราพักอยู่ที่บ้านสกุลเหวิน หากแม่นางอยากมาเยี่ยมเยือนในวันหน้าก็ได้”
“ได้ๆ วันนี้เย็นแล้ว ข้าต้องกลับก่อน ข้าต้องไปดูแลม้าในคอกด้วย”
พูดไปแล้วก็นึกอยากตบปากตัวเอง ไปบอกเขาทำไมว่านางต้องดูแลม้า! นางหัวเราะเขินๆ แล้วรีบเดินเร็วๆ แต่หัวใจของตนนั้นเต้นรัวราวกับกลองรบ ตั้งใจจะใช้วิชาตัวเบากระโดดไปตามแนวหลังคาบ้านจะได้กลับจวนแม่ทัพจ้าวอย่างรวดเร็ว ทว่าเพราะตัวเองเสียสมาธิหัวใจสั่นไหวกับดวงตาอ่อนโยนที่ทอดมองทำให้นางก้าวพลาดตกหลังคา ดีที่ไม่สูงนักและไหวตัวทันจึงม้วนตัวลงมายืนบนพื้นได้
“อะไรกัน เคอหลิ่งหลินที่วิชาตัวเบาเป็นเลิศถึงขั้นพลาดท่าตกหลังคาได้เนี้ยนะ รู้ถึงไหนอายถึงนั้น”
“จิ่นสือ!” นางหันมาทำเสียงดุใส่ชายหนุ่มที่อายุอ่อนกว่านางเพียงห้าเดือนเท่านั้น
“ทำอะไรไม่สมกับเป็นกุลสตรีเอาเสียเลย มิน่าท่านแม่ถึงได้บ่นกลัวจะไม่มีใครกล้ามาสามีให้เจ้า” จ้าวจิ่นสือพูดพลางส่ายหน้าระอาใจ
“เจ้า! ข้าเป็นพี่สาวเจ้านะ! พูดจาให้มันดีๆ หน่อยเถอะ”
“เหอะ! ถ้าข้าไม่ตกหลุมพรางของเจ้า ข้าก็ไม่ต้องเรียกเจ้าว่าพี่หรอกนะ”
“งั้นก็ยอมรับแล้วซิ ว่าข้าฉลาดกว่า” เคอหลิ่งหลินพูดพลางปัดเศษหญ้าตามเนื้อตัวออก
