บทที่ 1 ปรึกษา
“แม่กับพ่อปรึกษากันแล้วว่าจะช่วยลูกหาเมียสักคน”
เสียงแหลมเล็กที่ปลายเสียงมีความหวานปนความดุผสมอยู่ด้วยเอ่ยดังมาแต่ไกลเพื่อพูดคุยกับลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ ไม่นับรวมลูกสาวอีกคนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศตั้งแต่ไปเรียนไฮสคูลจนป่านนี้จบปริญญาโทแล้วยังไม่ยอมกลับบ้านเลย
“อือฮึ”
นนท์ธิวรรธน์ที่กำลังนั่งรับลมหนาวอยู่ตรงริมระเบียงบ้านที่ติดกับสวนหย่อมของบ้าน ลมหนาวที่นานๆ จะพัดผ่านมาให้ได้เย็นชื่นใจแค่ปีละครั้งและครั้งละไม่กี่วัน สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
เขากำลังเพลิดเพลินกับธรรมชาติที่นานๆ จะได้พบเจอ และนานๆ จะได้มีเวลาเพลิดเพลินกับมัน แต่ก็ต้องถูกขัดจังหวะเข้าอีกจนได้
ใบหน้าหล่อเหลาที่ถูกผสมผสานจากดีเด่นของทั้งพ่อและแม่อย่างลงตัว เปลี่ยนจากผ่อนคลายเป็นดูหงุดหงิดขึ้นมาทันตาเห็น
“และแม่คิดว่า ผู้หญิงคนนี้ควรจะมาเป็นเลขาของลูกได้ด้วย เพราะแม่ไม่สบายใจถ้าลูกจะมีเลขากับเมียเป็นผู้หญิงคนละคนกัน แม่กลัวว่ามันจะมีผู้หญิงหน้าด้านมาแทรกแซงครอบครัวของลูกได้ ต้องกันเอาไว้ก่อนประเดี๋ยวมีเรื่องขึ้นมาแล้วจะแก้ไขลำบาก”
พร้อมกันนั้นคนเป็นแม่ก็คิดเรื่องนี้เอาไว้อย่างรอบคอบเอาไว้แล้วด้วย เพื่อกันไม่ให้มีปัญหามือที่สามให้ว่าที่ลูกสะใภ้ในอนาคตของเธอต้องมาลำบากใจภายหลัง
ส่วนเรื่องเลี้ยงหลานในอนาคตก็ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะเธอในฐานะแม่ยายจะจัดการเรื่องนี้เอง และก็จ้างพี่เลี้ยงมาช่วยเพราะเธอถนัดใช้เงินแก้ปัญญาอยู่แล้ว ขอให้ลูกได้แม่พันธุ์ที่ดีมาก็พอ
“เรื่องนั้นมันยังไม่จำเป็นหรอกครับ เอาไว้ก่อนเถอะครับคุณแม่”
นนท์ธิวรรธน์ที่ไม่พร้อมมีเมียปฏิเสธเสียงแข็งออกไป ไม่สนว่าคนที่กำลังพูดอยู่นั้นจะเป็นแม่แท้ๆ ของเขา
เขาอยากใช้ชีวิตโสดต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้อย่างมีความสุข มุ่งเน้นทำแต่งานที่จะสร้างฐานะให้มั่นคง รอไปจนกว่าเขาจะเจอคนที่ถูกใจและคิดจะแต่งงานด้วยตัวเอง
เรื่องนี้เขาไม่รีบร้อน ค่อยๆ เลือกหา ค่อยเป็นค่อยไป เพราะเธอผู้นั้นจะต้องแต่งงานอยู่กับเขาไปชั่วชีวิต
จะไปคว้าเอาใครมามั่วซั่วก็คงไม่ได้ คงได้เสียชื่อชายหนุ่มที่ครองโสดมานานหรือแทบจะไม่มีแฟนเลยอย่างเขาเป็นแน่แท้
“จำเป็นสิ ทำไมจะไม่จำเป็นล่ะ ปีนี้ลูกอายุปาเข้าไปสามสิบห้าย่างสามสิบหกแล้วนะ ไม่มีลูกปีนี้หรือปีหน้า แม่เกรงว่าพ่อกับแม่จะอยู่รอดูหน้าหลานไม่ไหว อีกอย่างกว่าหลานแม่จะโตลูกไม่อายุหกสิบเลยเหรอ ถึงเวลานั้นจะวิ่งเล่นกับลูกไม่ไหวเอานะตานนท์”
“ถ้าคุณแม่อยากมีก็ไปจ้างใครอุ้มบุญสักคนสิครับ ผมจะรีดน้ำเชื้อให้”
“นนท์ เบาหน่อยไหมลูก”
นวัตรผู้เป็นพ่อที่กำลังนั่งอ่านหนังสือชีวประวัติคนดังของต่างประเทศอยู่ตรงไกลๆ จากสถานที่ที่แม่กับลูกกำลังสนทนากันอยู่ ส่งเสียงดุๆ ผ่านแรงลมหนาวมาห้ามปรามลูกชาย
เขาไม่ได้เอ่ยอย่างเข้าข้างใครใดคนหนึ่ง เพราะบ้านนี้ก็มีกันแค่สามคน ลูกสาวคนเล็กก็ยังไม่ได้เดินทางกลับมาอยู่ด้วย เขาก็จะต้องวางตัวเป็นกลางเอาไว้
แต่ที่ดุออกไปนั้นก็เพื่อให้ลูกชายพูดจานิ่มนวลกับคนเป็นแม่สักนิด เพราะนั้นก็คือแม่ถึงแม้จะเจ้ากี้เจ้าการมากไปนิดจนเขาเองที่เป็นสามียังมีนึกรำคาญออกไปบ้างก็ตาม
“สรุปว่าผมยังไม่อยากมี ไม่อยากมีก็คือไม่อยากมี และเราจะไม่คุยเรื่องนี้กันอีกแล้วนะครับคุณแม่ ถือว่าผมขอล่ะ”
ร่างหนาลุกพรวดจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่อย่างสบายก่อนหน้านี้ด้วยอาการหงุดหงิดที่ไม่อาจปิดบังได้ แล้วเดินหนีขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านเพื่อหลบหน้าคนเป็นแม่เข้าไปอยู่ภายในห้องนอนส่วนตัว
“นนท์ นี่แม่เองนะลูก คุยกันก่อนสิ”
“ผมมีนัด แล้วเย็นนี้ก็ไม่ต้องรอกินข้าวนะครับผมจะไปนอนที่คอนโด”
แต่แค่การหลบหน้าไปสักพักคงไม่พอสำหรับแม่ของเขาที่มักจะคิดทำอะไรก็จะทำให้สำเร็จให้จงได้ เขาก็เลยจำต้องออกจากบ้านไปให้เร็วที่สุดและหายหน้าไปสักวันในช่วงวันหยุดงานนี้ เพื่อระงับความคิดที่มันฟุ้งซ่านของแม่เขา
“ดื้อเหมือนคุณไม่มีผิด ทำไมลูกไม่ได้ความหัวอ่อนจะฉันไปเลย ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ”
ลูกชายเดินหนีหน้าไปแล้ว คุณหญิงวรรณวิภาหรือคุณหญิงภาที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในแวดวงสังคมไฮโซก็หันไปแหวใส่สามีที่นั่งอยู่ไกลๆ ตรงนู้น
ที่ลูกชายไม่ได้ดั่งใจเธอ ชอบขัดใจเธออยู่เรื่อยๆ ก็เพราะหัวแข็งเหมือนคนเป็นพ่อนั่นแหละ ทำให้เธอที่เป็นแม่ที่ป้อนนมจากอกให้ได้กินพูดอะไรไม่เคยจะเชื่อฟังกันเลยสักนิด
“เอาไว้ค่อยๆ พูดกับลูกใหม่ก็ได้ อย่าเพิ่งไปเร่งรัด ลูกเราไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะจะบังคับอะไรแบบนั้นก็ยากหน่อย”
“เอาไว้วันหลังก็ได้ค่ะ ยังไงฉันก็ต้องมีลูกสะใภ้ให้ได้”
เป็นเหตุที่จะต้องทะเลาะกันทุกครั้งเมื่อมีการพูดคุยกันในเรื่องนี้ ด้วยพ่อกับแม่ก็อายุมากโขด้วยกันทั้งคู่แล้ว ก็เกรงกลัวเหลือเกินว่าถ้าปล่อยให้ลูกหาเมียเองไม่รู้อีกกี่ปีจะได้เลี้ยงหลานหรืออาจตายไปก่อน ไอ้เจ้าลูกชายตัวดีก็ไม่เคยพอใจใครเลยสักคน วันๆ ทำแต่งานไม่มีวีไม่มีแววว่าจะหาเมียเข้าบ้านได้เลย
