บทที่ 4 ตอนที่ 4

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ทุกอย่างพี่จัดการเอง... แค่เธอกับลูกสาวแต่งตัวสวยๆ ทำให้ผู้ชายบนเรือทุกคนหันมามองเป็นพอ”

“ขอบพระคุณเหลือเกินค่ะคุณพี่”

นางวิไลยกมือไหว้อีกครั้ง

“แล้วทำไมไม่เอารถเข้ามาจอดในบ้านล่ะวิไล”

เจ้าของบ้านถามแขกผู้มาเยือน เมื่อทอดสายตาออกไปจากห้องรับแขกแล้วไม่เห็นรถเบนซ์ของนางวิไลซึ่งควรจะจอดอยู่ในลานจอดรถ หรือไม่ก็ลานกว้างที่หน้าบ้าน หากวันนี้กลับไม่เห็น

“คือว่า เอ่อ... ดิฉันนั่งแท็กซี่มาค่ะคุณหญิง”

คนถูกถามตอบอึกอัก

“อ้าว! แล้วเบนซ์เอสคลาสสีเปลือกมังคุดคันนั้นล่ะ”

“อ๋อ... เบนซ์คันที่เคยใช้อยู่เป็นประจำ ดิฉันขายไปตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อนแล้วค่ะคุณพี่ เพื่อเอาเงินมาหมุนเวียนเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน ตอนนี้เหลืออยู่แค่โตโยต้าห้าห่วงที่ยัยนุชเอาไปใช้”

กับคุณหญิงสดศรี นางวิไลกล้าบอกอย่างไม่คิดจะปิดบัง โตโยต้าห้าห่วงคือรถคันที่นุชนภางค์ใช้ขับไปทำงานทุกวันนี้

“นี่เธอย่ำแย่ถึงเพียงนี้เชียวหรือวิไล”

ด้วยสุ้มเสียงแสดงความเห็นใจ คิ้วซึ่งวาดเป็นวงโค้งเรียวรับกับกรอบดวงตาของคุณหญิงสดศรีชิดเข้าหากันเล็กน้อย ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“ดิฉันคงไม่กล้าบากหน้ามาขอความช่วยเหลือจากคุณพี่หรอกค่ะ... ถ้าไม่แย่ ไม่จนจริงๆ”

นางวิไลกล่าวเสียงเครือ ‘ความจน’ เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่หล่อนรู้สึกได้ก็ในตอนที่เปิดประเป๋าแล้วไม่มีสตางค์

“เอาเถอะวิไล... รับรองว่าฉันจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่”

คุณหญิงสดศรีเอื้อมมืออวบออกไปแตะแขนของนางวิไล ให้กำลังใจคนที่ครั้งหนึ่ง ‘เคยรวย’ เคยเชิดหน้าชูตาอวดสง่าราศีอยู่ในสังคมผู้ดีได้อย่างภาคภูมิใจ หากวันนี้กลับกลายเป็นผู้ดีตกอับไปเสียได้ โธ... ชีวิตมนุษย์ช่างไม่มีความแน่นอน

“แล้วนี่จะกลับยังไง... เอางี้ เดี๋ยวพี่ให้คนรับรถไปส่งที่บ้านดีไหม”

สายตาของคุณหญิงทอดมองใบหน้าซีดเศร้าของนางวิไลด้วยความรู้สึกเห็นใจ สงสาร

“ขอบพระคุณเหลืเกิน แต่ไม่รบกวนคุณหญิงหรอกค่ะ ประเดี๋ยวยัยนุชจะแวะมารับค่ะ”

นางวิไลบอกพลางพลิกหลังมือขึ้นมองนาฬิกา เวลาที่นัดหมายกับลูกสาวเอาไว้ใกล้เข้ามาแล้ว

“งั้นก็ดีน่ะสิ... นานแล้วที่ไม่ได้เจอหนูนุชนภางค์ กำลังอยากเห็นอยู่พอดี”

“ดิฉันก็ตั้งใจว่าจะให้ยัยนุชแวะเข้ามากราบคุณหญิงอยู่เหมือนกัน”

คุณนายวิไลนั่งปรับทุกข์อยู่กับคุณหญิงสดศรีต่อมาอีกครู่ใหญ่ๆ นุชนภางค์ก็เดินทางมาถึง

“กราบคุณหญิงท่านสิลูก”

นางวิไลบอกลูกสาว

“สวัสดีค่ะคุณหญิง”

มือเรียวกระพุ่มไหว้อ่อนช้อย กิริยาท่าทางดูหมดจดงดงามสมกับเป็นลูกผู้ดีเก่า สายตาของผู้เป็นเจ้าของบ้านจ้องมองใบหน้าของหญิงสาวด้วยความตะลึงพรึงเพริดในความสวย อีกทั้งยังนึกชื่นชมกิริยาท่าทางเรียบร้อยของนุชนภางค์

“เรียกคุณป้าดีกว่าจ้ะ”

สตรีผู้สูงวัยกว่าเอ่ยขึ้นอย่างไม่ถือเนื้อถือตัว

“ค่ะคุณป้า”

“ขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ ป้าสิจ๊ะ ขอป้ามองหน้าให้ชัดๆ”

นุชนภางค์ขยับเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ไม้บุนวมตัวใหญ่ตามที่เจ้าของบ้านว่า คุณหญิงขยับแว่นสายตาเพื่อที่จะมองหน้าหญิงสาวให้ชัดๆ

“สวยหมดจดดีจริงแม่คุณเอ๋ย... ลักษณะแบบนี้รับรองไม่อับจน ไม่อาภัพอย่างแน่นอน”

คุณหญิงว่า

“ลักษณะยังไงหรือคะคุณหญิง?”

นางวิไลแทรกขึ้นด้วยความอยากรู้

“ก็หน้าผากโหนกนูน ขมับกว้าง ตาคมได้รูป แถมยังเฉียงขึ้นเล็กน้อย แก้มอิ่ม ริมฝีปากอิ่ม จมูกโด่งเป็นสันสวย ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาไร้ไฝฝ้าราคี ฉันเชื่อว่ารูปร่างหน้าตาอย่างหนูนุชภางค์จะทำให้นายเมฆาตะลึงงัน”

คุณหญิงเอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจ

“คุณเมฆาเป็นใครคะคุณป้า?”

นุชภางค์ถามด้วยความสงสัย เพราะเธอเพิ่งมาถึง เลยไม่รู้ว่าเมื่อชั่วโมงก่อนหน้ามารดาของเธอกับคุณหญิงสดศรีคุยอะไรกันบ้าง

ครั้นแล้วคุณหญิงสดศรีก็เล่าให้ฟังคร่าวๆ ถึงพื้นเพของนายเมฆา เพื่อให้นุชภางค์ได้เตรียมพร้อมสำหรับงานกาล่าดินเนอร์บนเรือสำราญสุดหรูที่จะมาถึงในอีกสองวัน

“ป้าถามตรงๆ... ตอนนี้หนูมีแฟนหรือคบหากับผู้ชายคนไหนอยู่หรือเปล่าจ๊ะ”

“ไม่มีค่ะ”

หญิงสาวตอบโดยไม่ลังเล

“แล้วเจ้าของโรงเรียนล่ะ?”

คุณหญิงสดศรีหมายถึงเจ้าของโรงเรียนอนุบาลเอกชนที่นุชนภางค์ทำงานเป็นครูอยู่ในตอนนี้ เป็นโรงเรียนเล็กๆ ที่เปิดสอนในระดับประถม แต่ก็ขึ้นชื่อในเรื่องคุณภาพและค่าเทอมแพง

“อ๋อ... คุณวิกรมน่ะหรือค่ะ”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป