บทที่ 5 ตอนที่ 5

“จ้ะ... ก็เห็นแม่ของหนูเล่าว่าเจ้าของโรงเรียนชอบชวนออกไปทานข้าวเที่ยงบ่อยๆ ไม่ได้คบหากันอยู่หรอกรึ”

คุณหญิงสดศรีรู้เรื่องนี้ก็เพราะว่านางวิไลเพิ่งเล่าให้ฟังเมื่อครู่ ก่อนหน้าที่หญิงสาวจะเดินทางมาถึงเพียงไม่กี่นาที

“อ๋อ... หนูคิดว่าคุณวิกรมสนใจหนูอยู่เหมือนกัน แต่บางทีท่านอาจจะเอ็นดูหนูเหมือนผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กน่ะค่ะ”

หญิงสาวเอ่ยออกมาอย่างคนที่มองโลกในแง่ดี

“เด็กหนอเด็ก ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย การที่ผู้ชายมาชักชวนออกไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันบ่อยๆ จะด้วยวัตถุประสงค์อะไรล่ะ? ถ้าไม่ใช่วัวแก่อยากเคี้ยวหญ้าอ่อน เห็นว่าอีตาวิกรมคนนี้แก่กว่าหนูเป็นสิบปีนี่นา”

“ใช่ค่ะ... เกือบรอบ”

นุชนภางค์ตอบไปตามความจริง

ครู่ต่อมาคุณหญิงสดศรีก็เล่าเรื่องของเมฆาให้สองแม่ลูกได้ฟังจนละเอียดยิบ ที่หล่อนรู้ลึกไปถึงเรื่องราววงในเกี่ยวกับเมฆาก็เพราะว่าเขาเป็นญาติห่างๆ กับตระกูลของสามีหล่อน

“รบกวนเวลาคุณหญิงมานานแล้ว เห็นทีว่าดิฉันกับลูกสาวคงต้องขอตัวกลับ”

นางวิไลเอ่ยด้วยความเกรงใจ

“งั้นอีกสองวันเจอกัน พี่จะให้คนขับรถไปรับเธอกับลูกสาวที่บ้าน แล้วเดินทางไปลงเรือพร้อมกันดีไหมจ๊ะ”

“ได้ค่ะ... ขอบพระคุณมากค่ะ”

สองแม่ลูกยกมือไหว้เจ้าของคฤหาสน์ ก่อนลากลับในเวลาต่อมา

นุชนภางค์ทิ้งร่างอ่อนล้าลงกลางที่นอนนุ่ม สายตาเลื่อนลอยจับอยู่ที่เพดาน ครุ่นคิดถึงเรื่องราวความเปลี่ยนแปลงที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตมากมาย ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน หลังจากสำเร็จการศึกษากลับมาจากประเทศฟิลิปปินส์

แรกทีเดียวนุชนภางค์ตั้งใจว่าจะกลับมาเป็นครูที่เมืองไทย ครั้งหนึ่งเธอเคยตั้งอุดมการณ์เอาไว้ ว่าอยากจะไปเป็นครูสอนเด็กนักเรียนในถิ่นทุรกันดาร ทว่าหลังจากบอกความตั้งใจนี้ให้กับบิดามารดาได้รับรู้ ก็ทำให้ความตั้งใจว่าอยากจะไปเป็นครูอาสาต้องดับวูบ กลายเป็นเพียงอุดมการณ์ที่ถูกพับเก็บเอาไว้ในลิ้นชักไปตลอดชีวิต ด้วยนายสมพงษ์และนางวิไลต่างก็ไม่เห็นด้วยกับความคิดของนุชนภางค์เลยสักคน

และการตัดสินใจของบุพการีทั้งสองก็ส่งผลให้นุชนภางค์ต้องเริ่มงานแรกในชีวิตการทำงานด้วยการเป็นครูอยู่ในโรงเรียนเอกชนของนายวิกรมซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นน้องกับบิดาของเธอ เพราะไม่อยากให้ลูกสาวคนเดียวต้องไปใช้ชีวิตอยู่ไกลหูไกลตา

นุชนภางค์กวาดสายตามองดูข้าวของทุกอย่างภายในห้องนอนของตัวเองด้วยความรู้สึกสะทกสะท้อนใจอย่างที่สุด... เธอคงทำใจไม่ได้ ถ้าบ้านหลังนี้ต้องโดนธนาคารยึดขึ้นมาจริงๆ

หญิงสาวคว้าตุ๊กตาหมีสีขาวซึ่งนายสมพงษ์ผู้เป็นบิดาซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อสองเดือนก่อนเอามากอดแนบอก

หลายวันมานี้บิดาของเธอเอาแต่เก็บตัวเงียบเชียบอยู่แต่ในห้อง ซึ่งนุชนภางค์เพิ่งได้รู้ความจริงเมื่อสองวันมานี้เองว่าการที่นางวิไลตักเตือนอยู่บ่อยๆ ว่าระยะนี้ขอให้ใช้จ่ายอย่างประหยัด อีกทั้งรถเบนซ์คันใหญ่ของบิดาที่เพิ่งขายไปเมื่อเดือนก่อน ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าครอบครัวกำลัง ‘ถังแตก’ นี่เอง

นุชนภางค์ร้องไห้ เธอพยายามข่มตาหลับ หากก็ไม่ง่ายเลยสักนิด เพราะว่าเรื่องราวความเดือดร้อนที่ครอบครัวกำลังเผชิญได้ส่งผลรบกวนจิตใจให้ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา ไม่ง่ายเลยสักนิด... ที่จะสลัดความกังวลใจออกไปจากสมอง

มือเรียวกอดกระชับตุ๊กตาหมีเอาไว้แน่น ภายหลังจากความพยายามข่มตาหลับอยู่นานเป็นครู่... แต่ก็ไม่เป็นผล

นุชนภางค์ตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงนอน ปลายเท้าน้อยๆ ก้าวย่ำไปตามพื้นกระดานเย็นเยียบ เดินไปหยุดอยู่ที่หน้าต่างซึ่งเปิดแง้มเอาไว้เพียงครึ่งบานเพื่อให้ลมผ่าน

มือเรียวเอื้อมออกไปรวบรั้งผ้าม่านลูกไม้สีครีมสะอาด แต่งแต้มเอาไว้ด้วยลวดลายดอกเดซี่สีขาวน่ารัก ชะโงกใบหน้าออกไปส่งสายตาทักทายกับดวงดาวพราวระยับ ปล่อยให้สายลมเย็นพัดมาโลมลูบใบหน้า ช่วยปาดน้ำตาที่กำลังรินไหลออกมาเพราะคลื่นความเศร้าที่ถั่งโถมอยู่ลึกๆ ภายในใจจนเป็นเหตุให้นอนไม่หลับ

ขณะกำลังทอดสายตามองผ่านม่านน้ำตาของตัวเองอยู่ในตอนนั้น บังเอิญหญิงสาวสังเกตเห็นแสงไฟเรืองๆ สาดออกมาจากหน้าต่างห้องทำงานของบิดา ทำให้นึกฉงนใจขึ้นมาว่าดึกดื่นป่านนี้นายสมพงษ์ยังไม่นอนอีกหรือ?

หญิงสาวผลักบานประตูห้องนอน ก้าวเนิบช้าไปตามระเบียงทอดยาวไปถึงห้องทำงานของบิดาซึ่งอยู่อีกฟากของเรือนใหญ่ แวดล้อมไปด้วยต้นหมากและจำปี ส่งกลิ่นหอมกรุ่นอบอวลไปทั่วบริเวณนอกชาน

บทก่อนหน้า
บทถัดไป