บทที่ 6 ตอนที่ 6
ก็อกๆ...
หลังมือน้อยๆ กระทบเข้ากับประตูไม้บานหนา
“คุณพ่อคะ”
เสียงร้องเรียกเบาๆ ที่หน้าห้องเป็นสัญญาณให้คนในห้องได้รู้ว่าใครกันที่มาเรียก
“เข้ามาสิยัยหนู... ประตูไม่ได้ล็อก”
สิ้นเสียงขานรับของบิดา นุชนภางค์ผลักบานประตูเข้าไปช้าๆ ทอดสายตาเข้าไปในห้อง แลเห็นบิดาในชุดนอนสีน้ำตาลลายทาง กำลังนั่งหน้าเครียดอยู่บนเก้าอี้ใกล้โต๊ะทำงานซึ่งบางครั้งก็ปรับเปลี่ยนเป็นที่อ่านหนังสือไปในตัว
แสงจากโคมไฟของโต๊ะทำงาน สว่างพอให้สายตาของนุชนภางค์บังเอิญเหลือบไปเห็นซองเอกสารสีน้ำตาลที่บิดากำลังนั่งอ่านด้วยสีหน้ากังวล
เมื่อพูดคุยกันในเวลาต่อมา จึงได้รู้ว่าเอกสารในมือบิดานั้นคือหนังสือเตือนให้ชำระหนี้จากทางธนาคารเจ้าหนี้
“อย่าเครียดนะคะคุณพ่อ... มันจะต้องมีทางออกสิคะ หนูจะช่วยนะคะ”
ด้วยความรู้สึกสงสารบิดาจับใจ หญิงสาวคุกเข่าลงนั่งกับพื้น สวมกอดร่างท้วมของบิดา แนบใบหน้าเข้ากับพุงอบอุ่นเหมือนเมื่อครั้งที่เธอเคยทำตอนเป็นเด็กๆ
“ขอบใจหนูเหลือเกินลูก... พ่อเสียใจที่อะไรๆ ต้องเป็นแบบนี้ ทั้งที่พ่อก็พยายามแล้ว”
นายสมพงษ์เบือนหน้าขึ้นมองเพดาน ด้วยรู้ว่าในทันทีที่ก้มหน้า หยาดน้ำตาจะรินไหลลงมาให้ลูกสาวได้เห็น
ฝ่ามือใหญ่ลูบโลมลงบนศีรษะของลูกสาวคนเดียวด้วยความเอ็นดูรักใคร่ ตั้งแต่เด็กจนเติบโตมาจนถึงวันนี้นุชนภางค์ประพฤติตัวเป็นลูกที่ดีมาตลอด ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอจะสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้ครอบครัว
“คุณพ่อทำดีที่สุดแล้วค่ะ”
เสียงเล็กๆ เอื้อนเอ่ยให้กำลังใจ ทำไมเธอจะไม่รู้ ว่าที่ผ่านๆ มานั้นบิดาพยายามแค่ไหน เพื่อจะข้ามผ่านวิกฤติการณ์อันเลวร้ายนี้ไปให้ได้
“คุณแม่เพิ่งเข้ามาคุยกับพ่อเมื่อกี้”
สีหน้าของนายสมพงษ์บอกความไม่สบายใจนัก
“เรื่องอะไรคะคุณพ่อ”
“ก็เรื่องคุณแม่กับหนูไปหาคุณหญิงสดศรี บอกตรงๆ ว่าพ่อรู้สึกละอายใจยังไงไม่รู้ มันอดคิดไม่ได้... ว่าครอบครัวของเราจนตรอกถึงขนาดที่ต้องพาลูกสาวต้องไปไล่จับผู้ชายรวยๆ เชียวหรือ?”
คนเป็นบิดาพูดในฐานะที่เคยเป็นทหารเก่า ผู้ซึ่งได้รับการปลูกฝังให้รักเกียรติยศศักดิ์ศรีมาทั้งชีวิต
“ความจริงมันไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอกค่ะคุณพ่อ คิดเสียว่ามันก็เหมือนปาร์ตี้ธรรมดาของคุณหญิงคุณนายที่พ่วงโอกาสหาเขยหาสะใภ้เอาไว้ในงานเดียวกัน แต่คุณพ่อไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ เพราะถ้าเจอผู้ชายไม่ดี... หนูก็คงไม่โอเคหรอกค่ะ”
นุชนภางค์ไมอยากให้บิดาต้องคิดมาก
“อย่าว่าพ่อกับแม่นะลูก... ที่ตัดสินใจใช้วิธีนี้”
นายสมพงษ์หมายถึงวิธีที่จะใช้ลูกเป็น ‘เครื่องมือ’ จับผู้ชายรวยๆ เพื่อช่วยกอบกู้ฐานะทางการเงินของครอบครัวที่กำลังย่ำแย่หนัก
“หนูยินดีที่จะได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อพวกเราทุกคน และหนูคงรู้สึกแย่... ถ้าปล่อยให้ทุกอย่างย่ำแยลงไปโดยช่วยเหลืออะไรไม่ได้สักอย่าง”
มืเรียวกอดกระชับร่างท้วมของบิดาทั้งที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น
“พ่อโชคดีที่มีลูกอย่างหนู... ไม่เสียแรงที่พ่อกับแม่รักหนูปานแก้วตาดวงใจ”
เสียงของนายสมพงษ์เครือไปด้วยแรงสะอื้นในอก มือข้างหนังยังคงลูบศีรษะลูกสาวด้วยความรักและเอ็นดู
“คุณพ่อเข้านอนเถอะนะคะ แม้ว่าพรุ่งนี้เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น... แต่พวกเราจะตื่นขึ้นมาอย่างมีความหวัง”
นุชนภางค์ให้กำลังใจบิดา ก่อนเดินออกมาจากห้อง นายสมพงษ์มองตามร่างบอบบางในชุดนอนลายคิตตี้แคทสีชมพูหวานด้วยแววตาชื่นชมในความเป็นคนเข้มแข็ง ไม่เสียแรงที่นุชนภางค์เกิดมามีพ่อเป็นนายทหารเก่า
เมื่อกลับเข้ามาภายในห้องนอนของตัวเอง นุชนภางค์หยิบหนังสือจีเอ็มแมกกาซีนที่มีรูปของเมฆาอวดความหล่อเหลาอยู่บนปก
เธอหยิบขึ้นมาดูด้วยสายตาชื่นชม เพราะว่าเมฆาได้รับการยกย่องว่าเป็นนักธุรกิจไฟแรงที่สุดคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังไม่มาก
นุชนภางค์เผลออ่านไปยิ้มไปด้วยความลืมตัว ถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของเมฆาทำให้เธอรู้จักพื้นเพชีวิตของเขาดีขึ้น ได้รู้ว่าชายหนุ่มผู้หล่อเหลาและเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์จนน่าหลงใหลคนนี้ สำเร็จการศึกษาทางด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยฮาเวิร์ดซึ่งมีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของโลก
และเธอยังได้รู้อีกว่ารูปร่างสูงใหญ่เกินกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตร ผมสีน้ำตาลเข้มและดวงตาสีนิลชวนฝันคู่นั้น… ที่แท้ก็เป็นลูกครึ่งสเปนนี่เอง
เรื่องราวในบทสัมภาษณ์ที่กำลังอ่าน ตรงกับที่คุณหญิงสดศรีได้บอกเล่าให้ฟังคร่าวๆ บิดาของเมฆาเป็นนักธุรกิจชาวสเปนที่มาพบรักและแต่งงานกับมารดาของเขาซึ่งเป็นคนไทย
อีกสองวันต่อมา
ที่งานกาล่าดินเนอร์สูดหรูหราบนเรือสำราญกลางทะเล
“วันนี้หนูสวยเหลือเกิน”
