บทที่ 1

เวนดี้เป่าเล็บของตัวเองพลางสบถเบาๆ กับยาทาเล็บกากเพชรสีเงินที่แห้งช้าเป็นบ้า นานมากแล้วที่เธอไม่ได้ใส่ใจดูแลตัวเองจนลืมไปแล้วว่าการแต่งองค์ทรงเครื่องมันกินเวลาขนาดไหน ขณะมองเข็มนาฬิกาเดินติ๊กต็อกไปเรื่อยๆ เธอก็นึกโทษตัวเองในใจว่าต้องไปสายแน่ๆ

ชีวิตของเธอช่วงหลังมายุ่งเหยิงเสียจนต้องยอมจำนนให้กับลุคโทรมๆ แบบนักศึกษา สภาพที่ไม่แต่งหน้า สวมเสื้อสเวตเชิ้ตลายโลโก้ตัวใหญ่ๆ กับกางเกงยีนส์เรียบๆ กลายเป็นเรื่องปกติของเธอไปโดยไม่รู้ตัว หลังจากสี่ปีที่ง่วนอยู่กับการเรียนควบสองปริญญาในมหาวิทยาลัย เธอก็หมดความอดทนกับเรื่องน่าเบื่อหน่ายจำเจไปแล้ว เธอเพิ่งสอบไฟนอลตัวสุดท้ายเสร็จเมื่อเช้านี้และเป็นอิสระอย่างเป็นทางการ ถึงเวลาที่ต้องฉลองกันหน่อยแล้ว

เธอขมวดคิ้วใส่กระจกและรู้สึกเกือบจะสิ้นหวังกับสภาพผมของตัวเองในตอนนี้ หลังจากที่มัดรวบเป็นหางม้าทรงประจำของสาวขี้เกียจมาเป็นเวลานาน ผมหยิกสีแดงของเธอดูเหมือนจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง การพยายามปราบมันให้ยอมแสกข้างลึกๆ ได้นั้นให้ความรู้สึกเหมือนใช้เวลาไปชั่วกัลป์ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ต้องยอมรับว่าชุดเดรสปาร์ตี้สีม่วงยาวคลุมเข่าของเธอนั้นเข้ากับสีผมได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เวนดี้พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดและพยายามเตือนตัวเองว่าคืนนี้ควรจะเป็นคืนแห่งการพักผ่อนและสนุกสนาน ในเมื่อเรียนจบแล้ว ก็ถึงเวลากลับไปใช้ชีวิตจริงๆ จังๆ เสียที หรืออาจจะ...กล้าพูดได้ว่า...หาความสนุกใส่ตัวบ้าง เธอได้แต่กรอกตามองบนใส่ความคิดตัวเองในใจ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน การไปเที่ยวคลับกับเพื่อนๆ ดูเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย

ก่อนที่เธอจะทันได้คิดมากเรื่องเสื้อผ้าไปกว่านี้ โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เวนดี้ไม่จำเป็นต้องหยิบมาดูก็รู้ว่าเป็นข้อความจากเหล่าเพื่อนซี้ เวนดี้คว้าเสื้อคาร์ดิแกนสีเทาอ่อนจากที่แขวนบนหลังประตูห้องนอนแล้วตรงดิ่งไปยังประตูหน้า เธอต้องกระโดดเหยงๆ ไปด้วยขณะพยายามสวมรองเท้าแตะรัดส้นสีเงิน เธอเหลือบมองไปรอบๆ อพาร์ตเมนต์หนึ่งห้องนอนเล็กๆ ของเธอเป็นครั้งสุดท้ายแล้วถอนหายใจ

เธอเกือบจะก้าวพ้นประตูอยู่แล้วเมื่อนึกถึงกระเป๋าถือขึ้นมาได้ เธอรีบหันกลับไปคว้ากระเป๋าคล้องข้อมือจากบนชั้นหนังสือเตี้ยๆ เธอปัดฝุ่นที่เกาะหนาเตอะออกแล้วยัดโทรศัพท์ ใบขับขี่ และบัตรเดบิตลงไป ขณะรูดซิปปิด เธอก็พยายามนึกอีกครั้งว่าผีห่าซาตานตนไหนดลใจให้เธอตกลงมาเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนๆ ตั้งแต่แรก

เวนดี้ได้ยินเสียงบีบแตรอันคุ้นเคยของรถเก๋งคันเล็กสีน้ำเงินของชาร์ล็อตต์ เธอรีบล็อกประตูแล้ววิ่งโซซัดโซเซลงบันไดไปยังที่จอดรถประจำของเธอซึ่งปกติจะว่างเปล่า เธอไม่ได้เงยหน้ามองด้วยซ้ำขณะรีบวิ่งไปทางฝั่งผู้โดยสารของรถ เธอรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่ารถคันเดียวที่เคยมาจอดในช่องนี้คือรถเก่าๆ โทรมๆ ที่พวกสาวๆ ตั้งชื่อให้ด้วยความเอ็นดูว่า “เจ้าอสูรน้อย” เพราะบางครั้งมันจะส่งเสียงคำรามแปลกๆ ออกมาเวลาชาร์ล็อตต์เหยียบคันเร่งจนมิด

“โทษทีนะ” เวนดี้พูดเสียงหอบขณะปีนขึ้นรถ เธอผลักกล่องอาหารเก่าๆ หน้ากระดาษสมุดที่ยับยู่ยี่ และหนังสือเรียนสองสามเล่มออกจากที่นั่งแล้วคาดเข็มขัดนิรภัย เธอไม่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นไปมองก็รู้ว่าเพื่อนของเธอกำลังสำรวจเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอจึงนั่งเงียบๆ เพื่อรอฟังว่าชาร์ล็อตต์จะเห็นชอบกับเครื่องแต่งกายของเธอหรือไม่

“เธอดูดีมากเลยนะ” ชาร์ล็อตต์พูดพร้อมรอยยิ้มจริงใจ “ฉันว่าฉันไม่เคยเห็นเธอใส่ชุดนี้มาก่อนเลย”

เวนดี้ยักไหล่ “ร้านขายของมือสองน่ะ เมื่อวานหลังสอบปลายภาควิชาจิตวิทยาเสร็จ ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อเช้าว่าไม่มีชุดเหมาะๆ ใส่ไปเต้นรำเลยสักชุด”

ชาร์ล็อตหัวเราะ “ที่รักจ๋า เธอไม่เคยมีชุดที่เหมาะสมกับวาระไหนๆ เลยต่างหาก อาทิตย์หน้าสิ่งแรกที่เราจะทำคือพาเธอไปช็อปปิง ฉันไม่อยากเห็นเธอใส่สเวตเตอร์สีเทาเก่าๆ โทรมๆ หรือกางเกงยีนส์ทรงคุณแม่ห่วยๆ นั่นอีกแล้วนะ!”

เวนดี้อยากจะเถียงแต่ก็รู้ว่าเปล่าประโยชน์ ส่วนใหญ่เป็นเพราะชาร์ล็อตเรียนเอกแฟชั่นและรู้สึกว่าตู้เสื้อผ้าของเวนดี้เป็นการดูหมิ่นและน่าอับอาย การทำให้เพื่อนๆ ของเธอดูดีเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีส่วนตัวสำหรับชาร์ล็อต เวนดี้ยังรู้อีกว่าอีกไม่นานเธอก็หวังว่าจะได้เริ่มสัมภาษณ์งานที่เป็นหลักเป็นฐาน เธอรู้ดีว่าหากต้องการได้ตำแหน่งดีๆ ก็ต้องแต่งตัวให้ดูดีสมกับตำแหน่งนั้น

ชาร์ล็อตกลอกนัยน์ตาสีน้ำตาลช็อกโกแลตขณะมองเวนดี้เถียงกับตัวเอง เธอสะบัดผมสีเข้มไปด้านหลังแล้วลูบมือไปตามชุดเดรสรัดรูปสีดำของเธอ ชาร์ล็อตถอดรองเท้าส้นสูงหนังกลับสีน้ำเงินออกเพื่อจะได้ขับรถได้สะดวก เธอเข้าเกียร์ถอยหลังแล้วเคลื่อนรถออกสู่ถนน การจราจรค่อนข้างเบาบาง และเธอรู้ว่าพวกเขาจะไปถึงได้เร็ว

“บางทีถ้าแกเลิกแต่งตัวเป็นป้าซะบ้าง แกอาจจะเจอผู้ชายสักคนก็ได้นะ แล้วแกอาจจะค้นพบว่าจริงๆ แล้วแกชอบการออกเดตก็ได้ แกจะใช้ข้ออ้างว่ายุ่งกับเรื่องเรียนตลอดไปไม่ได้หรอกนะยะ” คริสตี้พูดแทรกขึ้นมาจากเบาะหลัง

เวนดี้หันขวับไปมองข้ามไหล่แล้วส่งสายตาเย็นชาให้คริสตี้ แม้จะรำคาญใจ แต่เวนดี้ก็ต้องยอมรับว่าเพื่อนของเธอดูดีมาก คริสตี้เสยผมบ็อบสีบลอนด์ของเธอไปด้านหลังและสวมต่างหูห่วงเงินขนาดใหญ่ที่ทำให้นัยน์ตาสีเทาเหมือนเหล็กกล้าของเธอเป็นประกาย ส่วนเว้าส่วนโค้งที่สมบูรณ์แบบของเธอถูกขับเน้นด้วยชุดเดรสเกาะอกสีแดง และส้นสูงสามนิ้วก็ทำให้ขาของเธอดูยาวเป็นไมล์

เธอเหลือบมองคามิเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ข้างคริสตี้ เวนดี้ดูออกจากคิ้วที่ขมวดเข้าหากันได้ว่าคามิตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ร่วมวงสนทนานี้ด้วยจะดีกว่า เวนดี้พินิจมองเสื้อคอร์เซ็ตสไตล์โกธิคกับกางเกงหนังของเพื่อน ผมสีชมพูสลับดำของเธอปรกลงบนบ่า และเธอสวมโชกเกอร์ติดหมุด

“บางทีชีวิตมันก็ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย” เวนดี้คิด เพื่อนๆ ของเธอสวยกันทุกคน และเธอก็รู้สึกเสมอว่าตัวเองดูไม่เข้าพวกเมื่ออยู่กับพวกเขา เธอไม่ได้ผอมเพรียวและดูเป็นนักกีฬาเหมือนชาร์ล็อต เธอไม่ได้ดูลึกลับแปลกตาและสนุกอย่างน่าอันตรายเหมือนคามิ และก็ไม่ได้สูงและมีส่วนโค้งส่วนเว้าเหมือนคริสตี้ เวนดี้สูงปานกลาง มีรูปร่างที่เธอถือว่า ‘มีส่วนเกินให้รักเยอะหน่อย’ เธอมีใบหน้ากลม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ และจมูกกลมๆ เล็กๆ คนส่วนใหญ่มักจะเรียกเธอว่าเป็นเพื่อนที่ “น่ารัก” ซึ่งเธอไม่คิดว่ามันเป็นคำชมเลยสักนิด

“หมาสิน่ารัก ลูกหมาสิน่ารัก แต่คนเราไม่ควรจะน่ารัก” เวนดี้พึมพำพลางทำหน้าบึ้งใส่เงาสะท้อนของตัวเองในกระจกมองข้าง

“บางทีเธอก็ไม่มีปี่มีขลุ่ยเลยนะ” คามิขมวดคิ้ว เวนดี้ไม่เคยแน่ใจเลยว่าในหัวของคามิกำลังคิดอะไรอยู่ และเธอก็ไม่แน่ใจด้วยว่าตัวเองอยากจะรู้จริงๆ หรือเปล่า

“แต่ฉันว่านั่นก็คงเป็นเหตุผลที่พวกเรารักเธอล่ะมั้ง ฉันว่าเธอรีบต่อว่าตัวเองให้เสร็จก่อนที่เราจะถึงคลับดีกว่านะ เธอคงไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าเธอไม่บ้าก็เมาหนักหรอก ใช่ไหม”

เวนดี้หน้าบึ้งแล้วตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่...เรากำลังจะไปที่ไหนกันเหรอ”

บทถัดไป