บท 2

สวี่จือย่างนั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะอาหาร ในมือกำสัญญาหย่าที่เพิ่งเซ็นไปพร้อมกับเช็คหนึ่งใบไว้แน่น สมองของเธอว่างเปล่าไปหมด

การที่ฮั่วถิงเซินจากไปเปรียบเสมือนค้อนปอนด์ที่ทุบลงกลางใจอย่างจัง น้ำตาเธอรินไหลไม่ขาดสาย ในใจอัดแน่นไปด้วยความผิดหวังและสิ้นหวังจนหมดสิ้น ความหวานชื่นอบอุ่นในวันวาน บัดนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นความเหน็บหนาวที่เสียดแทงถึงกระดูก

“อาเซิน...” เธอพึมพำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องจบชีวิตคู่ลงแบบนี้ แม้จะรู้ดีว่าการแต่งงานของเธอกับฮั่วถิงเซินมันผิดมาตั้งแต่ต้น แต่ในวินาทีที่ต้องจรดปากกาเซ็นใบหย่าด้วยมือตัวเอง หัวใจก็ยังเจ็บปวดราวกับจะแหลกสลาย

“คุณหญิง เป็นอะไรรึเปล่าคะ?” ป้าหลิวเห็นสวี่จือย่างอารมณ์ไม่ดีจึงเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง

“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” สวี่จือย่างเช็ดน้ำตา พยายามฝืนยิ้มออกมา เธอรู้ว่าป้าหลิวกำลังเป็นห่วง แต่ในตอนนี้เธอแค่อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ

“ให้ป้าเตรียมอะไรให้ทานหน่อยไหมคะ?” ป้าหลิวพยายามชวนคุยเปลี่ยนเรื่อง หวังจะให้คุณผู้หญิงอารมณ์ดีขึ้น

“ไม่ต้องหรอกค่ะป้า ฉันอยากออกไปเดินเล่น” สวี่จือย่างลุกขึ้นยืน ในใจเริ่มรู้สึกหงุดหงิด เธอต้องการออกไปให้พ้นๆ จากบ้านที่น่าอึดอัดหลังนี้

“ถ้างั้นให้ป้าไปเป็นเพื่อนนะคะ” ป้าหลิวเสนอด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปคนเดียวได้” สวี่จือย่างจงใจไล่ป้าหลิวไป จากนั้นจึงเริ่มเก็บกระเป๋าเดินทางของตัวเอง

ไหนๆ ก็หย่ากันแล้ว เธอก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทนอยู่ในบ้านของฮั่วถิงเซินอีกต่อไป

สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความทรงจำระหว่างเธอกับฮั่วถิงเซิน เธอไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว อยากจะหนีไปจากทุกสิ่งทุกอย่าง

เธอเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางทีละชิ้น เธอไม่ได้หยิบชุดราตรีหรูหราราคาแพงเหล่านั้นไป แต่เลือกหยิบเสื้อผ้าลำลองที่ใส่สบายเพียงไม่กี่ชุด เมื่อสายตาของเธอกวาดไปเห็นตู้เก็บกระเป๋าโดยเฉพาะในห้องแต่งตัว กระเป๋าราคาแพงระยับเหล่านี้ล้วนเป็นของที่ฮั่วถิงเซินมอบให้เธอ แต่ละใบสามารถแลกกับบ้านได้ทั้งหลัง

แต่ตอนที่เธอถูกปล้น กระเป๋าพวกนี้กลับช่วยชีวิตเธอไว้ไม่ได้เลย

นั่นหมายความว่า ชีวิตของเธอมีค่าน้อยกว่าบ้านหนึ่งหลัง

น่าขันสิ้นดี คุณหญิงน้อยแห่งตระกูลฮั่วผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์นับไม่ถ้วน กลับมีค่าไม่เท่าบ้านหลังเดียวด้วยซ้ำ

กระเป๋าเหล่านี้ยังใหม่อยู่มาก บางใบยังไม่แกะป้ายราคาออกด้วยซ้ำ สวี่จือย่างไม่เคยใช้มันเลยสักครั้ง เธอไม่ได้หลงใหลในกระเป๋ามากมายขนาดนั้น แค่มีพอใช้ก็พอ แต่ทุกครั้งที่เธอมีอะไรกับฮั่วถิงเซิน ผู้ชายคนนั้นก็จะดึงดันมอบกระเป๋าให้เธอหนึ่งใบเสมอ

ตกลงแล้ว...นี่คือของขวัญที่สามีมอบให้ภรรยา? หรือเป็นค่าตัวที่แขกจ่ายให้โสเภณีกันแน่?

ในวินาทีนี้ สวี่จือย่างเริ่มแยกไม่ออกแล้ว

แต่งงานกันมาสามปี ฮั่วถิงเซินยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอชอบอะไร

เขาทึกทักเอาเองว่าการให้กระเป๋าจะทำให้สวี่จือย่างซาบซึ้งใจ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในสายตาของสวี่จือย่าง กระเป๋าทุกใบคือข้อพิสูจน์ว่าในใจของฮั่วถิงเซินไม่มีเธออยู่เลย

เพราะคนที่คลั่งไคล้กระเป๋าแบรนด์เนมตัวจริงน่ะ ไม่ใช่เธอ แต่เป็นฉินเจินเจินต่างหาก!

สวี่จือย่างส่ายหัวแรงๆ เพื่อไล่ความคิดสับสนวุ่นวายทั้งหมดออกจากสมอง จากนั้นจึงหันกลับมามองกระเป๋าเดินทางตรงหน้า

“ฉันจะเริ่มต้นใหม่ให้ได้” เธอพูดกับตัวเองในใจ พยายามปลุกใจให้เข้มแข็งขึ้น

แม้หนทางข้างหน้ายังมองไม่เห็น แม้เธอจะไม่รู้เลยว่าเมื่อจากที่นี่ไปแล้วจะไปอยู่ที่ไหนได้ แต่เธอรู้ว่าตัวเองต้องเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ

หลังจากเก็บของเสร็จ สวี่จือย่างก็ไปยืนอยู่หน้ากระจก หายใจเข้าลึกๆ แต่เมื่อเห็นใบหน้าในกระจก ความกล้าที่เพิ่งรวบรวมมาได้ก็เกือบจะมลายหายไปจนสิ้น

นี่คือใบหน้าที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี และยังเป็นใบหน้าที่สวยจนน่าตะลึง

ใบหน้าของเธอราวกับเครื่องกระเบื้องเนื้อดี ผิวขาวละเอียดลออจนเปล่งประกาย แค่แตะเบาๆ ก็เกิดรอยได้ง่ายๆ ซึ่งฮั่วถิงเซินพิสูจน์เรื่องนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว...ยามที่พวกเขาร่วมรักกัน เขาโปรดปรานการทิ้งร่องรอยความเป็นเจ้าของไว้บนผิวเธอยิ่งนัก

ในตอนแรก สวี่จือย่างก็มีความสุขกับมัน

เธอเคยคิดว่านั่นคือการแสดงความรักของเขา แต่ต่อมาก็ค่อยๆ เข้าใจ ว่ามันเป็นเพียงสัญชาตญาณดิบที่อยากจะครอบครองของผู้ชายเท่านั้น

สวี่จือย่างยังคงพิจารณาคิ้วและดวงตาของเธอในกระจกต่อไป เครื่องหน้าที่งดงามได้สัดส่วน ดวงตาหงส์ที่สดใสและมีเสน่ห์ คิ้วเรียวงามดั่งใบหลิว ขนตายาวที่ขยับไหวราวกับพัด ริมฝีปากอวบอิ่มอ่อนนุ่มดุจดอกซากุระบานสะพรั่ง...

แม้จะไม่ได้แต่งหน้า แต่ความงามของสวี่จือย่างก็ยังคงเป็นที่น่าจดจำ การมีอยู่ของเธอเปรียบเสมือนภาพวาดที่มีชีวิตชีวา ทำให้ผู้คนหลงใหลเคลิบเคลิ้ม

ทว่า สวี่จือย่างกลับเกลียดชังใบหน้าเช่นนี้อย่างที่สุด

เหตุผลไม่มีอะไรซับซ้อน ใบหน้านี้คล้ายกับฉินเจินเจินถึงเจ็ดส่วน

ที่ฮั่วถิงเซินยอมแต่งงานกับเธอ นอกจากเพื่อเอาใจคุณปู่แล้ว เหตุผลใหญ่กว่านั้นคงเป็นเพราะใบหน้าของเธอสินะ

เชื่อฟัง ว่านอนสอนง่าย สวยงาม และยังคล้ายกับรักแรกที่ลืมไม่ลงของเขาถึงเจ็ดส่วน ช่างเป็นตัวแทนที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้

และตอนนี้ รักแรกตัวจริงกลับมาแล้ว ตัวแทนอย่างเธอก็หมดประโยชน์ สิ่งที่เธอควรทำที่สุดในตอนนี้คือรีบไสหัวไปเพื่อให้ที่ว่างแก่รักแรกของเขา

“ลาก่อน ฮั่วถิงเซิน” สวี่จือย่างพูดเสียงเบา แววตาฉายแววเด็ดเดี่ยว จากนั้นเธอก็ลากกระเป๋าเดินทาง กำลังจะเดินออกจากบ้านที่เคยอบอุ่นแต่บัดนี้กลับหนาวเหน็บ

ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังสนั่นมาจากชั้นล่าง

หรือจะให้ถูกก็คือ เสียงทุบประตู

“โครม โครม โครม——”

“ใครกัน!” ป้าหลิวเดินไปเปิดประตูอย่างหัวเสีย คนดีๆ ที่ไหนจะมาทุบประตูแบบนี้ ไร้มารยาทสิ้นดี! ถ้าไม่ใช่เพราะขยันเช็ดขยันถู ฝุ่นที่ประตูคงร่วงกราวไปแล้ว

ป้าหลิวมองผ่านตาแมว พบว่าข้างนอกมีสามีภรรยาแปลกหน้าคู่หนึ่งยืนอยู่ ดูจากอายุแล้วน่าจะราวๆ เดียวกับเธอ

“พวกคุณคือใครคะ?” ป้าหลิวเปิดประตูแง้มไว้เพียงเล็กน้อย เพื่อที่จะได้ปิดประตูได้ทุกเมื่อ เธอขมวดคิ้วถามอย่างระแวดระวัง

ในฐานะแม่บ้านประจำของตระกูลฮั่วมานาน ป้าหลิวรู้ดีถึงวิธีต้อนรับแขก ถ้าเป็นคนอื่น เธอย่อมมีขั้นตอนการต้อนรับที่ไม่เสียมารยาทและไม่เอาใจจนเกินงาม ไม่ใช่เข้ามาแล้วถามว่าใคร

แต่สามีภรรยาคู่นี้น่าสงสัยเกินไป เธอจึงต้องระวังตัว

สามีภรรยาคู่นั้นไม่คิดว่าคนที่มาเปิดประตูจะไม่ใช่สวี่จือย่าง แถมยังระวังตัวขนาดนี้ ผู้ชายคนนั้นที่ยกมือขึ้นสูงแล้วก็ต้องลดลงมาข้างลำตัวอย่างเก้อๆ เขารู้จักคนนี้ นี่คือแม่บ้านของตระกูลฮั่ว และยังเป็นคนที่เลี้ยงฮั่วถิงเซินมาตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่คนที่เขาสามารถจะไปมีเรื่องด้วยได้ เขาจึงตอบอย่างประจบประแจงว่า “ผมเป็นพ่อของสวี่จือย่างครับ ส่วนนี่แม่ของแก เรามาเยี่ยมลูกสาวน่ะครับ”

ป้าหลิวถึงกับงง คุณหญิงมีพ่อแม่ด้วยเหรอ

แต่งงานกันมาสามปี พวกเขาไม่เคยปรากฏตัวเลย แม้แต่งานแต่งงาน สามีภรรยาคู่นี้ก็ไม่มา

พวกต้มตุ๋นแน่ๆ...

ใช่เลย!

ป้าหลิวตัดสินใจอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ปิดประตูใส่หน้าเสียงดังปังโดยไม่ทันตั้งตัว จมูกของผู้ชายคนนั้นโดนกระแทกจนแสบไปหมด

“โอ๊ยๆๆ!” แม้จะปิดประตูแล้ว ป้าหลิวก็ยังได้ยินเสียงผู้ชายข้างนอกกำลังกุมจมูกกระโดดเหยงๆ

“สมน้ำหน้า! กล้าดียังไงมาแอบอ้างเป็นพ่อแม่ของคุณหญิง! มาหลอกลวงถึงบ้านตระกูลฮั่ว ไม่ดูสารรูปตัวเองเลย!”ป้าหลิวรู้สึกเหมือนไก่ชนที่ตีชนะ เชิดหน้ากลับเข้าครัวไปอย่างภาคภูมิใจ

วันนี้คุณหญิงอารมณ์ไม่ดี เธอต้องทำของอร่อยๆ เยอะหน่อย จะได้ง้อคุณหญิง

ตอนนั้นเอง สวี่จือย่างก็ลากกระเป๋าเดินทางลงมาจากชั้นบน

เดี๋ยวนะ...

กระเป๋าเดินทาง?

“คุณหญิง จะไปไหนคะ?” ป้าหลิวถาม

บทก่อนหน้า
บทถัดไป