บทที่ 1 บทนำ
“ภูผา....คือ....เตย...เตยชอบภูผา ชอบมาตั้งแต่ ม. ต้นแล้ว....”
เสียงหวานของเด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายเอ่ยขึ้นอย่างเขินอาย เมื่อเธอรวบรวมความกล้าที่มีอยู่ทั้งหมด เดินเข้าไปหาชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ที่เป็นที่หมายปองของผู้หญิงทั้งโรงเรียน ที่เธอหลงรักเขามาตลอด 6 ปี จนตอนนี้ใกล้จะจบการศึกษา ถ้าไม่ทำแบบนี้กลัวว่าจะไม่มีโอกาสสารภาพรักกับเขา
“.....” ภูผาเงียบ มองเธอด้วยสายตาที่เย็นชา ก่อนจะเดินออกจากตรงนั้นเพื่อไปขึ้นรถกลับบ้าน ปล่อยให้หญิงสาวยืนยิ้มแห้ง พร้อมซองจดหมายรักไว้ตรงนั้น
“หึ...สมน้ำหน้า” เพื่อนร่วมห้องที่แอบชอบภูผาอีกคนเดินเข้ามาพูด ตอกย้ำที่เห็นเพื่อนอีกคนถึงกับพูดอะไรไม่ออก โดนปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย
“อึก...” ใบเตย ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ที่เธอทำแบบนี้เพราะคิดว่าเขาจะสงสาร กลัวเธอจะเสียหน้า เลยเลือกเวลาเลิกเรียนที่มีผู้คนเดินพลุกพล่าน แต่นั่นคือเธอคิดผิด ไม่เพียงแต่ไม่สมหวัง กลับอับอายคนทั้งโรงเรียน เธอมีอะไรด้อยตรงไหน เป็นถึงลูกนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ มีหน้ามีตาทางสังคม แต่ทำไมเขาถึงใจร้ายกับเธอแบบนี้
“โหพี่ แม่ง!! สุดยอดพี่ชายศึก ใจเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่าหินผา สาวน่ารักขนาดนั้นพี่ไม่มองได้ไง เป็นศึกนะ ศึกจะจีบ”
พรึบ!!
“ฮื่อ” ขุนศึกที่เพิ่งเดินขึ้นรถแต่พูดไม่หยุด เป็นเหตุให้พี่ชายผู้นิ่งขรึม สุขุม และเย็นชา ขยำกระดาษยัดใส่ปากน้องชายตัวแสบทันที
“สมน้ำหน้า พี่ผาเป็นของภูพิงค์คนเดียว จริงมั้ยค่ะ” ก่อนเสียงหวานคุ้นหูจะเอ่ยขึ้น พร้อมกับคนตัวเล็กจะก้าวเข้าไปในรถ เกาะแขนพี่ชายฝาแฝดไว้แน่น อย่างกับกลัวใครจะมาแย่งไป
“อะไร หยุดๆๆๆ ออกมา” แต่ขุนศึกคนขี้แกล้ง กลับดึงตัวพี่สาวไปนั่งบนตักตัวเอง ทั้งกอดทั้งหอม เล่นกันอย่างที่เคยเล่นประจำ
“มาให้จุ๊บซะดีๆ คนสวย”
“ขุนศึก หยุดนะ!! ถ้านายหอมแก้มฉัน ฉันจะฟ้องพ่อให้พ่อตีนาย!!” สองมือกุมแก้มนวลใสไว้เมื่อน้องชายทำท่าจะจูบ
“กลัวตายล่ะ มาเลยมา” แต่คนน้องกลับไม่สนใจยังคงแหย่พี่สาวเล่นอย่างอารมณ์ดี
“พี่ผาช่วยภูพิงค์ด้วย อีศึกมันแกล้งเค้า!” ในเมื่อสู้น้องไม่ได้ ก็ต้องหันไปพึ่งให้พี่ชายที่ได้แต่นั่งถอนหายใจมองน้องทั้งสองคนอย่างเอือมระอา
“ขุนศึก!” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเย็น ทำเอาน้องชายที่กำลังเล่นถึงกับชูมือทั้งสองข้างขึ้นเพื่อแสดงความพ่ายแพ้ และหยุดแกล้งพี่สาวคนสวยทันที ก็น้ำเสียงดุขนาดนั้น ไหนจะสายตาเย็นชาคู่นั้นอีก เป็นใครก็ต้องกลัว และห่วงชีวิตตัวเองไว้ก่อน
“.....สมน้ำหน้า” ภูพิงค์ที่เป็นฝ่ายชนะ ยิ้มเยาะน้องชายยกใหญ่ อีกทั้งอ้อนพี่ชายหน้าซุกอก สองแขนเรียวกอดเอวหนาไว้แน่น
“พี่ผา ปลอบหนูหน่อย หนูกลัวคนบ้า” พอเห็นพี่ชายทำหน้าดุ น้องสาวตัวเล็กก็ยิ่งออดอ้อน มองหน้าหลับตาปริบๆ เรียกร้องความสนใจจากพี่ชาย
“.....” เฮ้อ...คนพี่ก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย แต่ก็กอดปลอบ มือลูบหัวน้องเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ....
“เชอะ!! ใช่สิศึกมันหัวเดียวกระเทียมลีบนี่ ถึงได้รักกันแค่สองคน!” คนขี้แกล้งเมื่อเห็นพี่ชายโอ๋พี่สาวก็ทำทีเป็นน้อยอกน้อยใจพี่ๆ ขึ้นมา เผื่อจะเรียกคะแนนความสงสารได้บ้าง แต่ทว่า..
“....” พี่ชายกลับมองด้วยสายตาที่เอาเรื่อง
“โอเค...ศึกว่าศึกอยู่แบบนี้ของศึกดีแล้ว รักกันไปเถอะ!” พอรู้ว่าไม่ได้ผล พ่อปลาไหลก็บ่ายเบี่ยง หยิบมือถือหาอะไรดูระหว่างที่รถกำลังแล่นพาพวกเขาทั้งสามไปส่งบ้าน..
“พี่ผา ว่าแต่วันก่อน ไปไหนกับญี่ปุ่น แล้วทำไมเดี๋ยวนี้ญี่ปุ่นไม่ค่อยมาหาหนูเลย ภูพิงค์เหงา” คนตัวเล็กในอ้อมกอดพี่ชายทำเสียงเศร้า เมื่อเพื่อนรักอยู่ ๆ ก็หายตัวไป ทั้ง ๆ ที่เคยมาเล่นกับเธอเกือบทุกวัน
“พี่ก็ไม่รู้” เขาเอ่ยแค่นั้น ก่อนจะมองผ่านกระจกรถ แล้วเห็นใครบางคนกำลังเดินกลับบ้าน
“ลุงครับจอดรถให้ผมหน่อย!” ภูผาสั่งเสียงแข็ง
“จอดทำไมยังไม่ถึงบ้านเลย?” ขุนศึกเอ่ยขึ้นเมื่อคนขับรถจอดรถตามคำสั่งพี่ชาย
“......” ภูพิงค์ ได้แต่มองหน้าพี่ด้วยความสงสัย
“พี่จะไปบ้านเพื่อน เดี๋ยวพี่กลับเอง” เขาบอกน้องสาวก่อนจะเดินลงจากรถไปอย่างรีบร้อน
“บ้านเพื่อน ไปทำไมกัน?” ภูพิงค์ได้แต่บ่นพึมพำมองตามไหล่กว้างที่ไกลออกไปเรื่อยๆ
“มองอะไร ถ้านายแกล้งฉัน ฉันจะฟ้องแม่!” คนตัวเล็กรีบถอยห่างน้องชาย เมื่อไอ้ตัวแสบทำหน้าเจ้าเล่ห์ แต่พอได้ยินพี่บอกจะฟ้องแม่ก็ต้องคิดหนัก
“เปล่า ดูหนังมั้ยเรื่องนี้หนุก” จากที่จะแกล้ง ก็ต้องผูกมิตรไว้เป็นดีที่สุด แม่นะ ไม่กลัวได้ไง ขนาดคนที่ว่าใหญ่สุดในบ้านอย่างพ่อ ยังกลัวแม่ แล้วเขาแค่เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ น่าทะนุถนอมจะไปเหลืออะไร บ้านนี้ผู้หญิงเป็นใหญ่ ฮึ...ศึกจะร้องไห้!!!
ด้านภูผาทันทีที่ลงจากรถได้ก็รีบบึ่งเร่งฝีเท้าเดินตามใครบางคน ที่ทำให้หัวใจแข็งกร้าวของเขาสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ก็ได้เพียงแค่เดินตามดูห่างๆ เว้นระยะ ไม่เข้าใกล้ กลัวว่าเธอคนนั้น
หญิงสาวในชุดนักเรียนมัธยมถักเปียสองข้าง ใบหน้าสวยหวาน ในตาชวนฝัน คนนั้นจะตกใจกลัว
“เฮ้อ.... อีกไม่กี่เดือนจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ถึงจะได้ทุนเรียน แต่ค่าใช้จ่ายอย่างอื่นก็ต้องหาเอง จะขอจากแม่อย่างเดียวก็ไม่ได้ น้องๆ ก็ต้องเรียนเหมือนกัน”
“มีงานอะไรที่พอจะทำได้บ้างมั้ยนะแถวนี้” หญิงสาวบ่นพึมพำกับตัวเอง เดินก้มหน้าเตะฝุ่นอย่างคิดไม่ตก กับค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้เมื่อเธอก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย
ถึงที่บ้านเด็กกำพร้าจะสนับสนุน เพราะเธอเรียนดี แต่เธอก็ไม่อยากเห็นแก่ตัว เอาเปรียบคนอื่น ไม่อยากให้คุณแม่ที่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กเหนื่อยต้องทำงานหนักมากขึ้น
แต่แถวนี้ก็ไม่มีงานอะไรที่พอจะให้เธอทำได้ แค่รับจ้างซักรีด มันไม่พอแน่ๆ จะทำยังไงดีนะ แต่ก็ได้แค่คิด ด้วยความที่เป็นเด็กสาวหน้าตาดี ใสซื่อเกินไป คุณแม่เลยไม่ให้เธอออกไปทำงานข้างนอกเพราะกลัวจะเจอกับคนไม่ดีเอา
“ระวัง!!”
ปรี๊ด!!!!!
พรึบ!!
ตุ๊บ!!
“อยากตายรึไงวะ! เดินไม่ดูทาง” คนขับรถตะโกนด่าอย่างหัวเสียก่อนจะขับรถไปในทันที
โชคดีที่ภูผารีบวิ่งเข้าไปดึง ร่างเล็กที่เดินเหม่อ กำลังจะข้ามถนนแต่ไม่มองทาง จนเกือบจะโดนรถชน ด้วยแรงดึงทำให้คนทั้งคู่เสียหลัก
ภูผาล้มลงกับพื้นอย่างแรงจนข้อศอกแตก เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมา แต่โชคดีที่หญิงสาวที่เขาช่วยไว้ไม่เป็นอะไร ร่างเล็กล้มทับนอนอยู่บนตัวชายหนุ่ม
เธอได้แต่หลับตาปี๋ด้วยความตกใจ นอนนิ่งอยู่ในท่อนแขนแกร่งทั้งสองข้าง ที่กอดร่างเล็กเอาไว้แน่นเป็นการปลอบเธอ
ภูผาได้แต่นอนอมยิ้ม มองคนตัวเล็กในอ้อมกอดอย่างเอ็นดู เธอคงจะตกใจกลัว จนไม่กล้าลืมตามองเขา...
