บทที่ 2 สับสนในใจ
หลังจากเกิดเรื่องมาเกือบอาทิตย์ จีน่าเลือกที่จะหนีหน้าปืนมาตลอด ไม่มีการบอกเลิกตัดความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ ทว่าตอนนี้เธอไม่พร้อมที่จะเจอหน้าเขา ทั้งที่ปืนจะมารอดักเจอเธอ และพยายามจะโทรติดต่อเธอมาตลอด แต่เธอรู้สึกเหนื่อย และสับสนกับความรู้สึกของตัวเองจึงเลือกที่จะบินไปอังกฤษ หนึ่งเพื่อไปงานวันเกิดของผู้เป็นแม่ และเหตุผลที่สองเธออยากไปพักสมองให้เวลาตัวเองได้คิดทบทวนเรื่องต่าง ๆ กับความสัมพันธ์ของเธอและเขาให้ชัดเจน
ตอนนี้จีน่าเดินทางมาถึงประเทศอังกฤษแล้ว เธอกำลังรอรับกระเป๋าเดินทาง หลังจากที่ผ่านการร้องไห้ และนอนไม่หลับมาตลอดหลายวัน ดวงตาของเธอจึงค่อนข้างช้ำ หญิงสาวจึงใส่แว่นกันแดดสีดำปกปิดไว้ตลอด ถึงจะรู้สึกไม่โอเค แต่พอออกข้างนอกเธอก็ยังคงมีลุคของผู้หญิงมั่นใจอยู่เสมอ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอหยิบออกมาดูหน้าจอเห็นเป็นเกวลินโทรเข้ามา เธอจึงกดรับสาย
“อืม...ฉันถึงอังกฤษแล้ว”
“โอเคหรือเปล่า?” เกวลินเอ่ยถามด้วยเป็นห่วง
“โอเคสิ...เพื่อนเธอจะเป็นอะไรได้ล่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง ว่าแต่ฉันไม่อยู่เป็นเพื่อน แกโอเคนะ?” จีน่าก็ยังอดเป็นห่วงเพื่อนสนิทอย่างเกวลินไม่ได้
“อืม...ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกน่า แกเที่ยวให้สนุก ไม่ต้องคิดอะไรให้รกสมองล่ะ ฝากสวัสดีคุณลุง คุณป้าด้วยนะ”
“อืม...งั้นแค่นี้นะ ฉันไปรับกระเป๋าก่อน”
วางสายจากเพื่อนสนิทจีน่าก็เดินอย่างมั่นใจบนรองเท้าส้นสูงไม่ต่ำกว่าสองนิ้ว ไปที่จุดรับกระเป๋าของสนามบิน พอเช็กเรียบร้อยว่าไม่มีอะไรเสียหายก็เดินออกมา เพื่อจะไปขึ้นรถที่พ่อและแม่ของเธอส่งมารับ เนื่องจากเธอจำไม่ได้ว่าคนขับรถรออยู่ประตูไหน จึงเดินไปกดดูข้อความที่แม่ของเธอส่งมาบอกไปด้วย
พรึบ!! ไม่ทันมองทาง เธอชนกับใครบางคนเข้าอย่างจัง โทรศัพท์และกระเป๋าเดินทางหลุดมือกระจัดกระจายจนคนที่สัญจรไปมาพากันมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ขอโทษครับ” อีกฝ่ายเอ่ยขอโทษเป็นภาษาอังกฤษ
จีน่าไม่ทันได้สนใจ เธอเองก็รู้ตัวว่าผิดเช่นกัน จึงรีบก้มไปเก็บของที่กระจัดกระจายอยู่ที่พื้น ก่อนจะเงยขึ้นมาอย่างรีบร้อนใช้มืออีกข้างดันแว่นกันแดด สบถด่าตัวเองเสียงเบา “บ้าอะไรของแกเนี่ย พะรุงพะรังเป็นผีบ้าเลย”
ชายหนุ่มได้ยินหญิงสาวที่เดินชนพูดเป็นภาษาไทยก็ขมวดคิ้ว ถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่ได้สนใจคำขอโทษของเขา เหมือนหญิงสาวภายใต้แว่นกันแดดสีดำ จะถือตัวไม่น้อยเลย แต่ด้วยความที่ตนเป็นผู้ชายจึงเอ่ยถามไปอีกประโยค “เจ็บตรงไหนไหมครับ?” ครั้งนี้เขาเอ่ยถามเป็นภาษาไทย
จีน่ายัดพาสสปอร์ตใส่กระเป๋าด้วยความหัวเสีย ก่อนจะเอ่ยตอบอีกฝ่ายเป็นภาษาอังกฤษ “Never mind. What about you?” (ช่างมันเถอะ. คุณล่ะ?)
มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้น ทว่าเขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เพียงใช้สายตาสำรวจสิ่งของที่เป็นของเธอดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเสียหาย
จีน่าไม่ได้อยู่รอคำตอบจากอีกฝ่าย ไม่ตอบก็คือไม่เป็นอะไร แล้วเธอก็ไม่อยากเสียเวลากับคนแปลกหน้า จึงคว้าที่ลากกระเป๋าเดินทาง หันหลังออกไปทันที
ดูเหมือนชายหนุ่มจะยังคงมองหญิงสาว ที่เดินหันหลังจากไปอย่างสนใจ เขาไม่เคยเจอผู้หญิงเมินเขาขนาดนี้มาก่อน มองใบหน้าเธอที่มีแว่นกันแดดปกปิดอยู่ ก็พอจะเดาได้ว่าภายใต้แว่นกันแดดจะต้องเป็นใบหน้าที่ค่อนข้างดูดี ไหนจะท่าทีถือตัวของเธอ ยิ่งทำให้เขานึกหัวเราะตัวเองในใจ ไม่เคยมีผู้หญิงทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองขนาดนี้มาก่อน เพราะตั้งแต่ต้นจนจบ เหมือนเธอจะไม่ได้เงยขึ้นมามองใบหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ
“นายครับ...รถมารอเรียบร้อยแล้วครับ เชิญทางนี้ครับ”
“อืม...ไปกันเถอะ”
ก่อนจะเดินตามผู้ช่วยไปขึ้นรถ ชายหนุ่มก็ยังหันกลับมามองหญิงสาวอีกครั้ง แต่ดูเหมือนเธอจะหายไปเสียแล้ว
เมื่อจีน่าขึ้นรถของที่บ้านก็ยกมือถอดแว่นกันแดดออก ก่อนจะนวดบริเวณสันจมูกเบาๆ ตั้งแต่เดินทางออกจากคอนโด จนถึงอังกฤษเธอไม่กล้าถอดแว่นออกเลย จึงรู้สึกเจ็บบริเวณสันจมูกอยู่บ้าง เธอเดินทางจากไทยประมาณเที่ยงคืน มาถึงที่อังกฤษตอนนี้ ก็เกือบจะบ่ายสองโมงเย็น บรรยากาศด้านนอกช่วงเดือนมิถุนายนของที่นี่ ไม่หนาว และไม่ร้อน ถึงจะอยู่ในช่วงซัมเมอร์ของที่นี่ก็ตาม แต่อุณหภูมิก็อยู่ประมาณยี่สิบองศานิดๆ เท่านั้น จีน่าไม่ชอบสภาพอากาศของที่นี่ เพราะฝนตกบ่อย สลับกับหนาว ทำให้ตอนเด็ก ๆ เธอป่วยบ่อยจนต้องย้ายกลับไปอยู่ที่ประเทศไทย
“คุณแม่....คิดถึงที่สุดเลยค่ะ” จีน่าเข้ามาในบ้านก็ปล่อยสัมภาระกองที่พื้นวิ่งไปกอดผู้เป็นแม่ทันที
“ยัยเด็กแสบ...คิดถึงอะไรกัน สองปีแล้วฉันเพิ่งจะได้เจอหน้าลูกสาวฉัน”
“คุณแม่จะบ่นทำไมคะ หนูก็มาหาแล้วนี่ไง ปีนี้มีลูกสาวมาฉลองวันเกิดด้วยไม่ดีใจเหรอคะ” เธอกอดแขนอ้อนผู้เป็นแม่
“ยัยเด็กแสบมาถึงแล้วเหรอ?” ผู้เป็นพ่อได้ยินเสียงลูกสาวก็รีบเดินลงมาจากห้องทำงานทันที
“คุณพ่อ!!”
พอเห็นผู้เป็นพ่อเดินลงจากบันได เธอก็รีบปรี่เข้าไปประคองอย่างรู้งาน เพราะแต่ไหนแต่ไร พ่อของเธอเป็นคนที่ตามใจเธอมากที่สุด
“ดูเอาเถอะ ลูกคนนี้ ฉันเตรียมอาหารโปรดให้ตั้งแต่เช้า พอเจอพ่อแกก็ทิ้งแม่อย่างฉันเลย”
จีน่าหันไปทำหน้าตาอ้อนผู้เป็นแม่ ก่อนจะหันมาอ้อนพ่อของเธอต่อ “หนูก็คิดถึงทั้งคู่แหละค่ะ แค่คิดถึงคุณพ่อมากหน่อย”
ผู้เป็นพ่อ พอได้ยินลูกสาวเพียงคนเดียวพูดก็หัวเราะชอบใจ “ผมบอกคุณแล้วว่าต้องตามใจลูก อย่าดุลูกนัก ลูกจะไม่รักเอาได้”
เหมือนเธอกลับมาอังกฤษครั้งนี้จะทำให้ลืมเรื่องในหัวไปได้บ้าง ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับครอบครัว ทำให้เธอมีความสุขขึ้นไม่น้อยเลย ถึงอย่างนั้น ตอนที่เธออยู่ในห้องนอนตอนกลางคืนคนเดียวก็ยังมีเรื่องของแฟนหนุ่มแวบเข้ามาในหัวอย่างห้ามไม่ได้
มาที่อังกฤษอาทิตย์หนึ่งแล้ว จีน่าไม่ได้จับโทรศัพท์เลย และก็ไม่รู้ว่าแบตหมดไปตั้งแต่ตอนไหน หยิบมาชาร์จแบตและกดเปิดเครื่อง ก็มีเสียงแจ้งเตือนดังไม่หยุด ทั้งแจ้งเตือนการโทรเข้า และข้อความจากไลน์ ส่วนใหญ่ก็คือข้อความจากแฟนหนุ่มของเธอ จีน่าตัดสินใจเปิดอ่านข้อความที่ปืนส่งมาทุกข้อความ พอได้อ่านประโยคขอโทษคำเดิมๆ ซ้ำๆ ของเขาความจุกตื้อก็ค่อยๆ อัดแน่นอยู่ในอกเสียแต่ว่าเธอร้องไห้ไม่ออก เธอเปิดใจคบกับผู้ชายคนนี้มา 2 ปี ให้อภัยเขามา 3 ครั้ง เพราะคิดว่า ถ้ารักเขามากอีกหน่อย เขาจะมองเห็นสิ่งที่เธอทำให้ และหยุดที่เธอ แต่เหมือนเธอจะคิดผิด เธอเริ่มไม่เชื่อในความรักขึ้นเรื่อย ๆ และรู้สึกเหนื่อยกับความสัมพันธ์ ระหว่างที่อ่านข้อความของเขา ก็มีข้อความของปืนส่งมาอีก
ปืน : จีน่า ปืนขอโทษนะ เรามาคุยกันดี ๆ ได้ไหม ปืนรักจีน่านะ
ปืน : ปืนสัญญา จะไม่ทำอีกแล้ว ปืนไม่อยากเสียจีน่าไปนะ
เธออ่านข้อความที่ส่งมาล่าสุดซ้ำ ๆ วนๆ กับประโยคที่เธอเหมือนจะได้ยิน ได้เห็นมาหลายครั้ง คำว่ารัก คำว่าสัญญา แต่เหมือนผู้ชายคนนี้จะทำไม่ได้เลยสักครั้ง พอเธอให้โอกาส เขาก็มักจะทำลายโอกาสที่เธอให้อยู่เสมอ ทั้ง ๆ ที่เธอคิดจะหยุดที่เขา แต่ทำไมเขาถึงไม่ยอมหยุดที่เธอกันนะ
จีน่าตัดสินใจพิมพ์ตอบกลับไปทั้งน้ำตา
จีน่า : ขอเวลาหน่อย ตอนนี้ยังไม่พร้อมเจอหน้า ยังไม่พร้อมคุย
จีน่า : บอกตรง ๆ ว่ากลัว ปืนทำลายโอกาสที่เราให้มากี่ครั้งแล้ว ถ้ามีครั้งต่อไปเราไม่ไหวอีกแล้ว
จีน่า : ปืนอยากให้เรากลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนใช่ไหม ถ้าปืนไม่หยุด เราจะหยุดที่ปืนไปทำไม
พิมพ์กลับไปไม่ถึงนาที ก็มีข้อความตอบกลับมา
ปืน : ปืนจะไม่ทำอีกแล้ว จีน่าอย่าประชดปืน แล้วทำอะไรแบบนั้นเลยนะ
จีน่า : ไว้กลับไปค่อยคุยกันนะ เราขออยู่คนเดียวสักพัก
พิมพ์ตอบกลับไปอีกข้อความ จีน่าก็กดปิดหน้าจอโทรศัพท์ไปด้วยความเหนื่อยล้าหัวใจ เธอรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าควรทำยังไง เธอไม่ได้อยากเริ่มใหม่บ่อย ๆ ถ้าไม่นับความเจ้าชู้ แฟนหนุ่มคนนี้ก็ดูแล และใส่ใจเธอดีมาตลอด แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไม เขาถึงเลิกนิสัยนี้ไม่ได้สักที
วันนี้จีน่าตั้งใจตื่นเช้าเป็นพิเศษ เดินลงมาจากห้องนอน ก็ได้กลิ่นอาหารเช้าลอยมาแต่ไกล ตั้งแต่เธอกลับมาที่อังกฤษ ผู้เป็นแม่จะลงครัวทำอาหารเองเสมอ เพราะไม่ชอบทานอาหารที่นี่ แม่ของเธอจึงทำอาหารไทยให้ทุกมื้อ
“หอมจังเลยค่ะ”
ถึงจีน่าจะรู้สึกไม่โอเค แต่เธอก็ไม่อยากให้พ่อ และแม่เป็นห่วง จึงทำตัวเหมือนปกติ เดินยิ้มแย้มมาอ้อนผู้เป็นแม่เหมือนเคย
“เด็กคนนี้ โตขนาดนี้แล้วยังทำตัวเหมือนเด็ก”
“ก็หนูอยากกอดคุณแม่เยอะๆ ไงคะ กลับไทยก็ไม่ได้กอดแล้วนะคะ”
ผู้เป็นพ่อนั่งจิบกาแฟอยู่ที่โถง ได้ยินที่ลูกสาวพูด ก็วางแก้วกาแฟในมือลงถอนหายใจ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้น “กลับมาช่วยงานพ่อที่นี่ไหมลูก พี่แกก็ไม่สนใจ ถ้าแกไม่สนใจอีกคน ที่พ่อกับแม่ทำมาทั้งหมดจะไม่สูญเปล่าเหรอ”
ได้ยินที่ผู้เป็นพ่อเอ่ย จีน่าก็หุบยิ้มลงโดยอัตโนมัติ “หนูอยากอยู่ไทย คุณพ่อกับคุณแม่ก็ยังไม่ได้แก่ขนาดนั้นสักหน่อย บริษัทเรามั่นคงขนาดนี้ ต่อให้ไม่บริหารเอง ก็มีคนเก่งๆ คอยทำงานให้อยู่แล้วนิ่คะ”
“ใครจะไว้ใจได้เท่าคนในครอบครัวกัน”
“หนูไม่ชอบ หนูไม่มีหัวด้านนี้เลยสักนิด คุณพ่อบังคับพี่ไม่ได้ จะมาบังคับหนูเหรอคะ หนูไม่ยอมนะ”
ผู้เป็นแม่กลัวสามีตัวเองจะใจอ่อนกับลูกสาวที่โตจนถึงวัยทำงานแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเสริม “แกอย่ามาเอาแต่ใจแบบนี้นะ พี่แกถึงจะไม่ได้ทำงานที่บ้าน ก็ยังมีธุรกิจของตัวเองทำ แต่แกเรียนจบแล้วยังเที่ยวเล่นใช้เงินของที่บ้านไปวันๆ ไม่คิดจะทำงาน มันจะเหมือนกับพี่ชายแกได้ยังไง”
พอได้ยินที่แม่ของเธอเอ่ย ด้วยนิสัยหัวดื้อของเธอจึงอดที่จะเถียงอย่างเอาแต่ใจไม่ได้ “พอเป็นลูกชายคุณแม่ก็ดีไปซะหมด ถ้าพี่ดีขนาดนั้นก็เรียกตัวกลับมาช่วยบริษัทเราสิคะ เงินหนูหาเองก็ได้” จีน่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยใจ ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
ผู้เป็นพ่อเห็นน้ำตาลูกสาวไม่ได้จึงลุกเดินมาปลอบ
“พอแล้วๆ พ่อไม่บังคับแกสักหน่อย กลับมาบ้านทั้งที ต้องมีแต่ความสุข แม่แกพูดเพราะว่ารัก และเป็นห่วงแกมาก”
“ก็ให้ท้ายกันซะแบบนี้” ผู้เป็นแม่ค้อนผู้เป็นพ่อที่ให้ท้ายลูกสาว ก่อนจะเดินเข้าครัวไปไม่พูดอะไรอีก
“มา...เรามาคุยกันด้วยเหตุผล” พ่อของเธอจูงมือเธอมานั่งที่โซฟาตัวใหญ่ สีหน้าจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย
“คุยอะไรคะ?”
“พวกเราอยากให้ลูก โตกว่านี้อีกสักหน่อย อยากให้ลูกลองหาสิ่งที่ชอบทำ ไม่อยากกลับมาทำงานที่นี่พ่อก็ไม่บังคับลูก”
พอได้ยินที่ผู้เป็นพ่อเอ่ย เธอก็ใจเย็นลง ก่อนจะเม้มปากก้มหน้าลง “หนูไม่รู้ว่าหนูชอบอะไร”
“ที่เรียนมาล่ะ ชอบหรือเปล่า พ่อมีเพื่อนที่ลูกชายเขาทำบริษัทเกี่ยวกับสิ่งที่ลูกเรียน ลองดูไหม พ่อจะฝากให้”
“หนูอยากพักอีกสักปี แล้วค่อยคุยเรื่องนี้กันได้ไหม” เธอเงยหน้าขึ้นมาทำหน้าอ้อนผู้เป็นพ่อ สีหน้า ท่าทางของเธอ ผู้เป็นพ่อที่รักลูกสาวมากเห็นจะไม่ใจอ่อนได้ยังไงกัน
“ก็ใจอ่อนจนได้สินะ” ผู้เป็นแม่แอบฟังพ่อลูกอยู่พักใหญ่ อดไม่ได้จึงเดินเข้ามานั่งที่โซฟา
“คุณก็อย่าแข็งกับลูกนักเลย เราตามใจลูกมาตั้งแต่เล็ก จะมาแข็งตอนนี้ จะทะเลาะกันในครอบครัวเสียเปล่าๆ” ผู้เป็นพ่อยื่นมือไปกระชับแขนผู้เป็นแม่เอ่ย
“ฉันก็แค่อยากให้ลูกโต หากเกิดอะไรขึ้นมา ใครจะดูแลลูกเราได้ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ถ้าไม่มีเงินจากครอบครัวแล้ว ลูกเราจะอยู่ยังไง คุณคิดบ้างไหม เรื่องพวกนี้จะประมาทได้ยังไงกัน” ผู้เป็นแม่เอ่ยเสียงสั่น เพราะเธออดห่วงลูกสาวไม่ได้จึงอยากจะแข็งสักหน่อย แต่ลูกกับไม่เข้าใจ
“หนูขอพักอีกปี หนูจะลองทำงานดู โอเคไหมคะ?”
“แกจะพูดรับปากส่ง ๆ แบบนี้ไม่ได้ ถ้าครบปีแล้วแกโอ้เอ้ ฉันจะอายัดบัตรเครดิตแกทุกไป รถที่แกรักฉันก็จะยึด แกมีทางเลือกแค่ลองทำงานที่ไทย กับกลับมาช่วยธุรกิจที่บ้านเรา โอเคไหม?”
จีน่าได้ยินที่ผู้เป็นแม่เอ่ยก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “หนูจะเลือกอะไรได้มากกว่านี้อีกละคะ”
พอลูกสาวรับปากอย่างไม่เต็มใจ ผู้เป็นแม่ก็เปลี่ยนสีหน้าทันที ก่อนจะยกมือสองข้างประคองใบหน้าเล็กของลูกสาว ยิ้มอย่างดีใจ “ลูกสาวแม่รู้ความจริง ๆ พูดง่าย ๆ แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย”
ผู้เป็นลูกสาวฉีกยิ้มอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ก็ไม่มีทางอื่นให้เลือก จึงต้องยอมทำตามข้อเสนอของผู้เป็นแม่ ขอแค่มีบัตรที่รูดไม่จำกัดวงเงิน รถคันโปรด และได้อยู่ที่ไทยต่อ ถึงเธอจะต้องทนกัดฟันทำงานวันละแปดชั่วโมงก็คงไม่เป็นไร



















































