♥ บทที่ 5 ♥

เอ็นโซ ดีแองเจโล

18:15 น. คฤหาสน์โมเร็ตติ ห้องนอนของฝาแฝด อิตาลี

ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเคาะประตูที่ไม่หยุดหย่อน ผมคำรามในลำคออย่างหัวเสียแล้วลุกขึ้นนั่งบนเตียง รู้สึกหงุดหงิดที่ต้องถูกขัดจังหวะการพักผ่อน

“ใครน่ะ?!” ผมตะโกนถาม พยายามสะกดความโกรธในน้ำเสียงเอาไว้

“ฉันเอง แม่ให้มาตามไปกินมื้อค่ำ ทุกคนอยู่ข้างล่างกันหมดแล้ว!” เคลาส์ตอบกลับมา เสียงของเขาดังก้องผ่านประตู

“เออ กำลังจะลงไป!” ผมตอบกลับ พยายามไม่แสดงความรำคาญออกมา

ผมลุกจากเตียงอย่างไม่เต็มใจนักแล้วมุ่งหน้าไปที่ห้องน้ำ ผมล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อพยายามสลัดความง่วงงุนและความหงุดหงิดทิ้งไป จากนั้นก็หยิบแปรงสีฟันที่ทิ้งไว้ในห้องน้ำตั้งแต่ตอนอาบน้ำเมื่อตอนบ่ายขึ้นมาแปรงฟันอย่างเป็นอัตโนมัติ ผมล้างหน้าอีกครั้งเพื่อเรียกความสดชื่นแล้วเดินออกจากห้องน้ำ ตัดสินใจทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้บนเตียงจะได้ไม่วอกแวก

ทันทีที่ออกจากห้อง ผมก็เจออเล็กซ์ยืนรออยู่ตรงโถงทางเดิน สายตาของเขาจับจ้องมาอย่างพิจารณาและแฝงไปด้วยแววตำหนิเล็กน้อย

“มาทำอะไรตรงนี้?” ผมถามอย่างสับสนและหงุดหงิดเล็กน้อย

“มาเพื่อให้แน่ใจว่านายจะไม่หลงทางหรือพยายามทำอะไรแผลงๆ” อเล็กซ์ตอบด้วยสีหน้าราวกับคนที่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของผมดี

ผมกลอกตาอย่างระอา

“ฉันไม่ทำอะไรที่นี่หรอกน่า อเล็กซ์ ถามว่าอยากทำไหมน่ะเหรอ ใช่ แต่ซวยชะมัดที่ฉันทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง” ผมพูดโดยที่ความคับข้องใจฉายชัดอยู่ในน้ำเสียง

“ก็ดีแล้วล่ะ คุณคริสโตเฟอร์เป็นคนดี แต่อย่าไปทำให้เขาโกรธก็แล้วกัน” อเล็กซ์เตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ผมกลอกตาอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรกลับไป

“ถ้าเทศนาจบแล้ว เราไปกันได้หรือยัง?” ผมถาม พยายามซ่อนความใจร้อนเอาไว้

เขาถอนหายใจแล้วพยักหน้า เป็นเชิงว่าให้เราตามไปได้ เราเดินเคียงข้างกันไปในความเงียบ ลงบันไดไปด้วยฝีเท้าหนักๆ ความรู้สึกเหมือนถูกจับตามองทำให้ผมอึดอัด แต่ผมตัดสินใจว่าจะไม่สร้างเรื่องน่าอับอายใดๆ ถึงแม้ใจจะอยากทำก็ตาม ผมไม่อยากเสี่ยงสร้างปัญหาให้ครอบครัวของตัวเองไปมากกว่านี้ แต่ถ้าลูกๆ ของคริสโตเฟอร์ไม่ให้เกียรติผม พวกเขาก็ต้องเจอกับการเอาคืนของผมแน่

เมื่อเราลงไปถึงชั้นล่าง ผมสังเกตเห็นวัยรุ่นสามคนยืนอยู่ข้างๆ คู่แฝด ผมเห็นแม่เดินเข้ามาหา รู้สึกโล่งใจที่ได้เจอคนที่คุ้นเคย

“อ่า มาแล้วเหรอ เอ็นโซ!” คริสโตเฟอร์ทักด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ซึ่งบอกตามตรงว่าผมอยากจะหลีกเลี่ยงเต็มแก่ “ให้ฉันแนะนำลูกชายของฉันให้รู้จักนะ ลูอันกับลูคัส”

ฝาแฝดลูอันและลูคัสเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า ซึ่งดูเหมือนจะถูกตรึงไว้และน่ารำคาญอยู่หน่อยๆ พวกเขาเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว ทำให้ผมไม่สามารถแยกพวกเขาออกจากกันได้ในแวบแรก ทั้งคู่มีผมสีน้ำตาลเข้ม ยาวปานกลาง และหยักศกเล็กน้อย ปรกหน้าผากลงมาอย่างสบายๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มลุ่มลึกของพวกเขาก็แทบจะเหมือนกันทุกประการ รวมถึงสีหน้าก็ด้วย

ลูอันและลูคัสสวมเสื้อผ้าที่คล้ายกันมาก ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตลำลอง โดยลูอันใส่เสื้อสีฟ้าอ่อน ส่วนลูคัสใส่เสื้อยืดสีเขียว กางเกงของพวกเขาก็คล้ายกัน โดยลูอันสวมกางเกงยีนส์สีเข้ม และลูคัสสวมกางเกงสีเทา ความแตกต่างเดียวที่มองเห็นได้คือวิธีการจัดแต่งทรงผมที่ต่างกันเล็กน้อย แต่มันก็เล็กน้อยเสียจนไม่ได้ช่วยให้แยกแยะได้มากนัก

ทั้งคู่แผ่รัศมีความมีชีวิตชีวาและความมั่นใจออกมา รอยยิ้มของพวกเขาสดใสจนอาจทำให้คนอื่นยิ้มตามได้ แต่สำหรับผมแล้ว มันดูเสแสร้ง พวกเขาแสดงความเป็นมิตรออกมาอย่างเกินจริง ซึ่งผมพบว่ามันน่ารำคาญนิดหน่อย

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ เอ็นโซ ฉันชื่อลูอัน” คนหนึ่งพูดขึ้นพร้อมกับยื่นมือออกมาด้วยรอยยิ้มที่เหมือนจะพยายามเรียกความเห็นใจ

“ส่วนฉันลูคัส เอ็นโซ” อีกคนพูดพร้อมกับยื่นมือมาให้ด้วยรอยยิ้มกว้างไม่แพ้กัน

แม้ว่าพวกเขาจะหน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบและมีสีหน้าเป็นมิตร แต่แววตาที่พวกเขามองมาที่ผม... แววตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นจนแทบจะเรียกได้ว่าล่วงล้ำ... มันทำให้ผมรู้สึกอึดอัด พวกเขายืนอยู่ใกล้ๆ จับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของผมด้วยความใส่ใจที่ผมว่ามันมากเกินไปหน่อย

“ผมไม่ชอบให้ใครแตะเนื้อต้องตัว” ผมพูดเสียงเรียบโดยไม่ขยับไปจับมือ รอยยิ้มของพวกเขากลับดูกว้างขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบของผม ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิด

ทำไมพวกเขาต้องยิ้มขนาดนั้นด้วย หน้าผมมันมีอะไรตลกติดอยู่หรือไง

ผมรู้สึกถึงมือของแม่ที่วางลงบนแขน สัมผัสที่นุ่มนวลและปลอบประโลมนั้นช่วยให้ผมใจเย็นลงได้บ้าง

“ลูกๆ พวกเธอจะต้องแชร์ห้องกับเอ็นโซนะ” พ่อของพวกเขาประกาศ ทันใดนั้นฝาแฝดก็หันไปมองพ่อของตนด้วยความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด

“จริงเหรอครับ” พวกเขาถามขึ้นพร้อมกัน ด้วยสีหน้าที่ทั้งไม่อยากจะเชื่อและเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้

“ใช่ พ่อว่าคงไม่มีปัญหานะ ใช่ไหม” พ่อของฝาแฝดถามพลางหันมาทางผมด้วยสีหน้าคาดหวัง

ฝาแฝดลูอันและลูคัสมองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มที่แทบจะเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว

“ไม่มีปัญหาครับพ่อ” พวกเขาตอบพร้อมกันโดยที่รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้า

ผมเบือนหน้าหนีจากพวกเขา พยายามไม่แสดงความหงุดหงิดออกมา มันน่าทำอยู่หรอก แต่ผมก็พยายามควบคุมความอยากที่จะชกหน้าพวกเขา

“เอาล่ะ ไปกินมื้อค่ำกันเถอะ” พ่อของพวกเขาพูดแล้วเริ่มเดินไปยังห้องอาหาร แม่หยุดผมไว้ก่อนที่ผมจะตามไป

“เอ็นโซ ลูกช่วยทำตัวดีๆ หน่อยได้ไหม” เธอขอร้องด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

“แม่ครับ ผมไม่ใจดีกับคนที่ไม่รู้จักหรอก” ผมตอบกลับ ความหงุดหงิดฉายชัดในน้ำเสียง

“เราจะอยู่ที่นี่กันสองเดือนนะเอ็นโซ ลูกจะยังทำตัวเป็นศัตรูกับทุกคนอยู่เหรอ” เธอถามด้วยสีหน้ากังวล ผมยักไหล่ “แม่พูดเพื่อตัวลูกเองนะ ลูกก็รู้ว่าเอไลจาห์เป็นยังไงเวลาเขาโกรธ” เธอถอนหายใจอีกครั้ง

“ผมจะพยายามครับแม่” ผมพูดเพื่อพยายามทำให้แม่ใจเย็นลง เธอหอมแก้มผมอย่างรักใคร่

“แม่ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น ไปกินข้าวกันเถอะ”

เมื่อเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่ทุกคนอยู่พร้อมหน้ากันแล้ว แม่ของผมก็เดินไปสมทบกับพ่อแม่ของพวกเขา ส่วนผมไปนั่งข้างๆ อเล็กซ์

ไม่นานนัก บริกรหลายคนก็เดินเข้ามาทางประตู ถือถาดที่เต็มไปด้วยอาหารน่ารับประทานหลากหลายชนิด ถาดอาหารถูกจัดวางอย่างประณีตบนโต๊ะตรงหน้าพวกเรา เผยให้เห็นมื้ออาหารที่ดูหรูหราและผ่านการเตรียมมาอย่างดี

ถาดหนึ่งเป็นอาหารจานหลัก คือฟิเลมิยองเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำราดซอสเห็ดครีมข้นที่ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนจนไม่อาจต้านทาน ข้างๆ กันเป็นมันบดเนื้อเนียนที่หอมกลิ่นเนย แต่งหน้าด้วยการราดน้ำมันมะกอกเล็กน้อยและโรยด้วยสมุนไพรสด ถัดไปเป็นจานเนื้อปลาแล่บางย่างจนเป็นสีน้ำตาลสวยงาม เสิร์ฟพร้อมซัลซ่าเลมอนและเคเปอร์

อีกจานหนึ่งเป็นสลัดสดใหม่สีสันสดใส ประกอบด้วยผักใบเขียวกรอบ มะเขือเทศเชอร์รีผ่าครึ่ง แตงกวาหั่นแว่น และแครอทขูดฝอย ทั้งหมดราดด้วยน้ำสลัดบัลซามิกรสอ่อน นอกจากนี้ยังมีจานผักอบ เช่น ซูกินี พริกหยวก และแครอท ซึ่งทั้งหมดถูกอบจนเป็นสีคาราเมลและขอบนอกกรอบเล็กน้อย

สุดท้ายคือถาดขนมปังหลากหลายชนิดให้เลือก มีทั้งบาแก็ตต์กรอบๆ และขนมปังก้อนนุ่มๆ เสิร์ฟคู่กับเนยสมุนไพร หลังจากจัดวางจานต่างๆ อย่างเรียบร้อยแล้ว เหล่าบริกรก็ถอยออกไป ปล่อยให้โต๊ะอาหารพร้อมสำหรับให้ทุกคนตักบริการตัวเอง กลิ่นหอมของอาหารแต่ละจานอบอวลผสมผสานกันในอากาศ สร้างความรู้สึกอบอุ่นและน่าพึงพอใจ

บทก่อนหน้า
บทถัดไป