บทที่ 4 คืนรัญจวน 2
เรื่องเดิมในความหมายของป้ามอญก็คือ เพื่อนบางคนชอบล้อน้องอิฐเรื่องไม่มีพ่อ ซึ่งเธอบอกเรื่องพ่อของเขา แตกต่างจากที่บอกครอบครัว บาลีบอกลูกว่าเธอเลิกกับพ่อของเขาตั้งแต่ยังไม่ท้อง จากนั้นเขาก็หายไปจากชีวิต ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
“เด็กพวกนี้ เมื่อไหร่จะเลิกล้อ” บาลีสงสารลูก ซึ่งความผิดส่วนหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็มาจากตัวเธอเอง
“ก็พวกแม่ๆ มันไม่หยุดนินทา เด็กมันได้ยินก็เอามาล้อ”
“นินทามาตั้งแต่จำความได้ จนจะขึ้นปอสองแล้ว ไม่เบื่อบ้างหรือไง” บาลีพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายมากกว่าจะโกรธ
“ยัยรตีแหละตัวดี ไม่รู้ทำกรรมอะไรกับมันไว้แต่ชาติปางไหน ชอบจับกลุ่มนินทาลีตลอด ถ้าไม่เกรงใจยายเพลินนะ ป้าอยากจะด่าให้เลย”
ยายเพลิน ที่ป้ามอญพูดถึง ก็คือแม่ของรตีที่มีรั้วบ้านติดกัน แต่รตีกับบาลีเป็นคู่กัดสมัยเด็ก ส่วนใหญ่รตีจะเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนเสมอ มาบานปลายหนักก็ตอนมัธยม เพราะผู้ชายที่รตีชอบ กลับมาชอบบาลี ถึงสุดท้ายแล้วรตีจะได้แต่งงานมีลูกกับผู้ชายคนนั้น แต่ก็ยังไม่เลิกกัดเธอ และซ้ำเติมเยาะหยันที่เธอท้องไม่มีพ่อ แถมนินทาใส่ไข่ว่าเธอทำตัวเหลวแหลก มั่วบ้าง แรดบ้าง จนหาพ่อเด็กให้ลูกไม่ได้
ก็มันไม่สามารถหาให้ได้จริงๆ หรือแม้แต่จะบอกว่าใครคือพ่อของลูก
บาลีไม่เคยโต้ตอบ เพราะบางอย่างก็คงเป็นความจริง ถึงได้มีลูก โดยหาพ่อให้ลูกไม่ได้จนถึงทุกวันนี้
บาลีคุยกับป้ามอญอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน
บาลีเอนตัวลงข้างๆ ลูกชายตัวป้อม ที่แม้จะขึ้นชั้นประถมหนึ่ง แต่ร่างกลมๆ ที่มีมาตั้งแต่ยังอายุไม่กี่เดือน ตอนนี้ก็ยังเป็นเด็กตุ้ยนุ้ย เพราะกินเก่ง เธอเองก็ไม่อยากจำกัดเรื่องอาหารลูก เพราะวัยกำลังกินกำลังนอน แค่ขนมหวานเท่านั้นที่ต้องปริมาณไว้บ้าง เพื่อสุขภาพที่ดีก็พาเจ้าตัวป้อมออกกำลังกายประจำ ซึ่งลูกชายของเธอชื่นชอบการเตะฟุตบอลเป็นอย่างมาก เห็นตุ้ยนุ้ยแบบนี้ วิ่งเร็วมาก
บาลีกับธรินท์ เลยต้องเป็นคู่ซ้อมของเจ้าตัวป้อม
มองเจ้าแก้มยุ้ยแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ อายุเจ็ดขวบ ทำไมต้องหล่อขนาดนี้
ถึงใบหน้าจะกลม แก้มป่อง แต่ดวงตาที่หลับพริ้มไปแล้วนั้น เรียวกว้าง แพขนตายาวงอน จมูกโด่งพ้นแก้มยุ้ยอย่างเห็นได้ชัด ปากหยักสวย ผิวขาวอมชมพูอีกต่างหาก
จะว่าหลงรูปโฉมลูกตัวเอง บาลีก็ยอมรับ ก็แหงสิ พ่อของเจ้าตัวป้อม หล่อระดับประเทศเลยนะ
ลูกชายจะน้อยหน้าได้อย่างไรล่ะ
คิดแล้วก็หอมแก้มยุ้ยฟอดใหญ่ ก่อนปิดโคมไฟหัวเตียง แล้วเดินกลับห้องนอนตัวเองที่อยู่ติดกับห้องลูกชาย ที่เพิ่งแยกห้องนอนเมื่อเรียนชั้นประถมหนึ่ง ตามที่ตกลงกันไว้ตามประสาแม่ลูก
แต่เพราะวันนี้ได้เจอคนที่ทำให้หัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่ได้เห็นหน้า คืนนี้บาลีข่มตาหลับได้ยากมากๆ แถมยังฟุ้งซ่าน คิดถึงวันเก่าๆ โดยเฉพาะคืนนั้น...
10 ปีก่อน
“แก พี่อัทธ์หล่อมากก” เพื่อนใหม่ลากเสียงยาว ตอกย้ำคำว่ามากนั้น มากจริงๆ
ส่วนคนที่กำลังถูกชื่นชม เป็นรุ่นพี่ปีสี่ กำลังร้องเพลงอยู่บนเวทีในงานรับน้องใหม่ของคณะบริหาร ถ้าเขาจะหล่ออย่างเดียวก็ไม่ว่าหรอก แต่นี่ร้องเพลงก็เพราะสุดๆ ไม่แปลกที่อีกฝ่ายถูกเลือกให้เล่นซีรีส์ ถึงแม้บทจะเป็นเพียงตัวรอง แต่เพราะบทและฝีมือ ทำให้คนดูพูดถึงเขามากกว่าพระเอกด้วยซ้ำ
“เชื่อสิ อีกไม่นานพี่อัทธ์จะต้องเป็นซุป’ ตาร์ อันดับต้นๆ ของเมืองไทยแน่นอน”
บาลีพยักหน้ารับกับคำพูดของเพื่อนใหม่ ที่แม้จะเพิ่งรู้จักกัน แต่ก็พูดคุยกันได้อย่างสนิทสนมในเวลาอันรวดเร็ว อาจเพราะกรี๊ดผู้ชายคนเดียวกัน
“โห ยัยส้มซ่า ท่าทางจะจองพี่เขาแล้ว” ปิ่น หรือปิยดา เอ่ยขึ้นน้ำเสียงเบื่อๆ เมื่ออัทธ์ร้องเพลงจบ น้ำส้ม ดาวคณะและดาวมหา’ ลัยของปีนี้ ก็ขึ้นไปคล้องมาลัยแบงก์พันจนท่วมคออัทธ์
“ก็เหมาะสมกันดี” บาลีพูดไปตามความจริง เพราะน้ำส้ม สวย รูปร่างดีจนได้เป็นดาวมหาลัย ส่วนอัทธ์เป็นทั้งอดีตเดือนคณะ และมหา’ ลัย ที่สำคัญดูเหมือนทั้งสองจะรู้จักสนิทสนมกันมาก่อน
“เขาคบกันไหมนะ” ปิยดาพึมพำ
“ท่าทางเหมือนจะใช่นะ” บาลีคาดเดา จากท่าทีของทั้งสอง
“ฮือๆ อกหักเลยเรา”
“ไม่เป็นไร เราอกหักเป็นเพื่อน” บาลีปลอบ แล้วทั้งสองก็หัวเราะร่วน
สำหรับบาลี การได้ชอบอัทธ์ มันก็เหมือนการได้กรี๊ดดาราคนหนึ่ง แต่การได้เห็นเขาใกล้ๆ แบบนี้ มันก็ทำให้เพ้อเกินคำว่ากรี๊ดดาราอยู่มาก
ยิ่งมีโอกาสได้เจอบ่อยๆ ด้วยแล้ว ใจก็เตลิดไปไกล
::::::::::::::::::::
