บทที่ 5 มีการวางแผนไว้
ฝ่ายเหวินซืออี้พยายามใช้ความคิดเท่าที่นางพอจะมีข้อมูล สกุลจือคือ ฝ่ายพระสนมจือ ซึ่งนางเป็นมารดาขององค์หญิงหก เกิงเตียวอิ๋ง แล้วผู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ท่าทางสะโอดสะอง อาจเป็นจือฮวน สตรีมากอำนาจ และร้ายกาจที่สุดในวังหลวง และมีข่าวลับๆ ว่านางได้วางยาพระสนมที่มาจากแคว้นฉางจนถึงแก่ความตาย ฝ่ายนั้นก็คือหม่าฟานฉี
“ทุกอย่างล้วนมีการวางแผนไว้” เหวินซืออี้กล่าว พลางสูดลมหายใจลึก
“โอ้ คุณหนูห้าเหวินเพิ่งฉลาด และมีไหวพรบก็ในตอนใกล้ตาย จงฟังให้ดี จากนี้สมบัติทั้งหมดของสกุลเหวินจะถูกริบเข้าคลังหลวง ภายใต้การดูแลของจือหยวนโหว (จือคัง พี่ชายของพระสนมจือ) เช่นนี้นับว่าเหมาะสม และเป็นท่านเองที่จัดแจงเรื่องนี้ไว้ให้แผนการสำเร็จโดยง่าย เริ่มตั้งแต่ทอดสะพานให้แม่ทัพเซียวในครั้งอยู่เมืองซีหาน จวบจนปีนขึ้นเตียงแม่ทัพสำเร็จ ฝ่ายบิดาท่านอยากได้ลูกเขยเป็นแม่ทัพหนุ่มจนตัวสั่น และใช้ชื่อเสียงเขาขูดรีดชาวบ้าน หาผลประโยชน์จนร่ำรวยผิดปกติ มิหนำซ้ำยังร่วมมือกับพวกสุยจ้วง และซ่องซุ่มกำลังหวังเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ ส่วนมารดาท่านก็คอยเป็นกำลังเสริม ทำเรื่องผิดกฎหมายมิต่างกัน การที่พระสนมหม่าจากแคว้นฉางสิ้นใจ ก็เป็นยาพิษที่มาจากร้านค้าของสกุลเหวิน เช่นนั้นสกุลของเจ้า คงไม่มีใครรอดชีวิต!”
ได้ยินการใส่ร้ายอย่างนั้น เหวินซืออี้ก็คิดว่าไม่ใช่แค่นางโง่เขลาหลงรักคนผิด แต่ยามนี้ยังพาสกุลของตนถึงคราววิบัติด้วย เมื่อรู้เช่นนั้น เหวินซืออี้จำเป็นต้องทำบางสิ่ง อย่างน้อยเพื่อส่งเสียงนางแจ้งข่าวแก่คนสกุลเหวินที่กำลังมุ่งหน้ามายังป้อมสังเกตการณ์เพื่อไม่ให้พวกเขาติดกับดัก และจบชีวิตลงอย่างที่ฝ่ายของเกิงเตียงอิ๋งหวังไว้
มือเรียวสวยจับไม้ตีกลองได้ทั้งสองข้าง อึดใจต่อมา เสียงกลองแจ้งข่าวก็ดังขึ้น ดังไปพร้อมเสียงหัวใจนางที่เต้นระรัวแรง
ขณะเดียวกันนางมองไปยังด้านล่าง เห็นญาติตนที่ขี่ม้ามุ่งหน้าที่นี่อย่างรวดเร็ว นางยิ่งต้องเตือนพวกเขาอย่างสุดความสามารถ
ทว่าในยามนั้นเด็กในครรภ์ดิ้น และนางยังมีอาการหน้ามืดตามมา แต่เหวินซืออี้ยังแข็งใจทำในสิ่งที่มุ่งหวัง
“ยิงธนูออกไป อย่าให้นางตีกลองแจ้งข่าวได้”
“แต่นั่นคือ ฮูหยินของท่านแม่ทัพเชียวนะ”
เสียงหนึ่งเอ่ยล้อเลียนเหวินซืออี้ แล้วอีกคนก็เสริมต่อ และเสียงดังกล่าวคือพระสนมจือ!
“นางกำลังตั้งครรภ์มารหัวขน ทำลายทั้งแม่และลูกเสีย แล้วเก็บกวาดทุกอย่างให้สะอาด อย่าลืมว่าพรุ่งนี้ ต้องมีหัวของคนสกุลเหวินเสียบประจานที่กำแพงเมืองหลวงด้วย!”
เมื่อจือฮวนสนมคนโปรดของเหลียงอ๋องสั่งการจบ ก็เหมือนว่าสถานที่แห่งนั้นจะต้องนองไปด้วยเลือด ฝ่ายขันทีห่าวรับคำสั่งแข็งขัน จากนั้นลูกธนูก็ไม่พลาดเป้าพุ่งเข้าใส่ที่หน้าท้องเหวินซืออี้ ส่วนคนของเซียวหัวเฟิงที่สั่งไว้คุ้มกันที่นี่ ต่างจบชีวิตลงทีละคน โดยไม่อาจช่วยเหลือเจ้าสาวได้
เมื่อธนูปักเข้าร่าง หญิงสาวนั้นสั่นสะท้าน อนิจจานางไม่อาจมีกำลังตีกลองได้อีก นางไม่ได้เจ็บปวดแค่บาดแผล ทว่าลูกธนูอาบยาพิษ หญิงสาวหวีดร้องลั่น ผมบนศีรษะนางค่อยๆ เปลี่ยนสี จากดำขลับกลายเป็นขาวดั่งหิมะ ยามนี้ทั่วร่างเย็นเยียบ ขยับไปทางไหนก็ลำบาก แต่เหวินซืออี้จะอ่อนแออีกไม่ได้ แม้เจ็บเจียนตาย แต่นางอยากใช้ร่างกายและวิญญาณให้เกิดประโยชน์ เหวินซืออี้รวบรวมพลังเฮือกสุดท้าย พาตนเองปีนขึ้นไปบนกำแพงป้อมสังเกตการณ์จนสำเร็จ
ยามนั้นใบหน้า มารดา บิดา และคนที่รักนางฉายขึ้นในห้วงความคิด ก่อนจะมีเสียงหนึ่งดังให้ได้ยิน คือเสียงที่นางคิดถึงเสมอ
“อี้เอ๋อร์... เจ้าเป็นคนหัวอ่อน... จงจำไว้ ความรักคือดาบอาบยาพิษเล่มหนึ่ง หากใช้ไม่เป็น ก็รังแต่จะทำร้ายทั้งเจ้าและคู่ชีวิต”
ถ้อยคำดังกล่าวเป็นของซือฝู... หรืออาจารย์เฉิง”
เขาเป็นคนที่สอนนางหลายสิ่ง คือผู้มากด้วยความรู้ แต่เข้มงวดอย่างน่าเบื่อ ทั้งที่อาจกล่าวได้ว่าเฉิงเซ่าเทียน คือคนที่ทำให้ดรุณีน้อยหัวใจเต้นแรงเมื่อพบหน้า แต่นางเยาว์วัย ทั้งการเป็นลูกศิษย์กับอาจารย์ไฉนจะข้ามขั้นไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งได้ จวบจนนางได้พบกับเซียวหัวเฟิงที่เป็นลูกบุญธรรมอีกฝ่าย เขาติดตามเฉิงเซ่าเทียนมาด้วย หัวใจและดวงตาของเหวิน
ซืออี้ผู้โง่เขลาก็ไม่เหลียวแลผู้ใด ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้นางตัดใจจากเฉิงเซ่าเทียนสำเร็จ!
“ซือฝู ท่านจะสั่งสอนสิ่งใดศิษย์ผู้นี้อีกหรือ”
เขายิ้ม รอยยิ้มนั้นอบอุ่น และส่งเสริมให้นางมีพลังเสมอ ผิดแต่เหวินซืออี้ไม่ชอบมอง เป็นเพราะลึกๆ นางกลัวตนจะหลงรักอีกฝ่าย
“ชาตินี้ศิษย์ปัญญาทึบ ซือฝูสั่งสอนสิ่งใด ก็ไม่เข้าหัวสักอย่าง สุดท้ายยังทำให้หลายชีวิตต้องจากไปอย่างทรมาน... ซือฝู เหตุใดท่านถึงไม่อบรมศิษย์ให้หนักกว่านี้ ให้ข้าเรียนแค่เขียนอักษร และวาดภาพ เห็นหรือไม่ผลลัพธ์ออกมาเช่นไร สุดท้ายก็ไม่อาจมีไหวพริบมากพอที่จะทันเล่ห์เหลี่ยมผู้อื่น ทั้งหมดที่ท่านลงแรงไป มิเท่าส่งเสริมให้ข้ามาตายอย่างไร้ค่าหรอกหรือ”
นางตัดพ้อ แต่เขาก็ยังยิ้มกลับมาให้เช่นเดิม
“เดินทางไกลครั้งนี้ ศิษย์กลัวหรือเกิน... ซือฝู อย่าลืมเขียนชื่อสิบสามไว้ที่กับรุ่นพี่ในสำนักศึกษา ยามนี้เหวินซืออี้ขอล่วงหน้าไปก่อน...”
หญิงสาวพร่ำเพ้อได้เพียงเท่านั้น ก็ต้องหนาวเหน็บทั้งร่าง และไม่ทันทำสิ่งใดต่อ ลูกธนูอีกดอกก็พุ่งปักที่ลำคอนาง เลือดสดๆ ไหลทะลึก ความเจ็บปวดทวีคูณกว่าเดิม นางหายใจไม่ออก และขยับร่างส่วนบนไม่ได้
