บทที่ 7 คุณฝ้าย
”อิง อิง ตื่นได้แล้ว “ สาวน้อยผิวพรรณดี เดินเข้ามาในห้องเล็กชั้นล่าง ก่อนจะปลุกเพื่อนสาว ด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ตื่นแล้วค่ะ คุณฝ้าย “ คนถูกปลุกงัวเงียตอบ ก่อนจะถูกตีที่แขนเบาๆ “ถ้าคุณฝ้ายอีกคำ จะไม่คุยด้วยแล้ว “
น้ำอิงลุกขึ้นนั่งแล้วรวบผมเอาไว้ ลืมตาขึ้นมามอง
“ไป ช้อปปิ้งกัน วันนี้ เงินเดือนออกแล้ว “
เด็กสาว2คน เดินเข้าออกร้านเสื้อผ้า หลายยี่ห้อ อย่างร่าเริง ก่อนที่น้ำอิงจะรับชุดกระโปรงสีหวานมาไว้ในมือ
“เอาไปลอง เผื่อใส่ไปงาน “ น้ำอิงอยากจะบอกว่าไม่ แต่คงทำไม่ได้ เพราะคนที่ยืนข้างๆจะถอยให้ในขณะที่ยอมได้ แต่จะเอาแต่ใจเต็มที่ เพราะความรักและหวังดีเสมอ
นายแพทย์สัญญา เซ็นเป็นผู้ปกครอง พร้อมทำเรื่องเป็นผู้อนุเคราะห์เด็กคนนี้ทันที หลังจากวันนั้น
ภาพของผู้หญิงวัยกลางคนสวมชุดกระโปรงอยู่บ้านกอดรับขวัญเธอ เป็นความอบอุ่นที่น้ำอิงไม่มีวันลืม
เด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกัน ยืนมองเธออยู่ตรงนั้น แล้วยิ้มให้อย่างดีใจ
“เราชื่อฝ้าย เรียกแค่ฝ้าย ไม่ต้องเรียกคุณอะไรทั้งนั้น เข้าใจไหม “
ตั้งแต่นั้นมา สองสาวตัวติดกันเป็นฝาแฝดทันที คุณหมอจึงมีลูกสาวสองคนที่เรียนแพทย์เช่นเดียวกัน แม้อีกคนจะเรียนเก่งกว่าก็ตาม
“คะแนนบทนี้ อิงท้อปอีกแล้วค่ะคุณพ่อ “ ลูกสาวบอกออกมาแล้วส่งเปเปอร์ให้ดู
“ฝ้ายว่า อิงต้องกินตำราเข้าไปแน่ๆเลย “ น้ำอิงยิ้มออกมา แล้วบอกเพื่อนว่า
“งั้นฝ้ายก็ต้องกินเครื่องสำอางค์เข้าไปแน่ๆถึงได้สวยขนาดนี้ “
ความตรงไปตรงมาของเด็กจากบนโน้น ละลายความอิจฉาได้หมดสิ้น ช่วงแรกจะมีข้อเปรียบเทียบเสมอ ว่าเพื่อนซี้สองคนทำไมไม่เรียนดีเท่ากัน แต่ความซื่อตรงของน้ำอิงทำให้ฝ้ายต้องยิ้มรับกับคำเปรียบเทียบ
“อิง ต้องสู้นะฝ้าย อิงต้องทำมากกว่าคนอื่นทำ กว่าจะมาถึงจุดนี้ ถ้าฝ้ายอ่านหนังสือวันละ7ชั่วโมงอย่างอิง ฝ้ายก็เก่งเหมือนกัน “
“ไม่เอาหรอก เราต้องบาลานซ์ชีวิตให้ได้ “
ฝ้ายถึงได้เป็นนักศึกษาแพทย์ ที่เป็นบล็อกเกอร์ รีวิวเครื่องสำอางค์ มีคนติดตามหลายแสนคน และยังมีเวลามาช่วยแต่งตัวเพื่อนสาวคนนี้ด้วย
“นั่นคือสิ่งที่อิงทำเหมือนฝ้ายไม่ได้เหมือนกัน “ น้ำอิงบอกกับเพื่อนรัก แล้วจับมือเอาไว้แน่น
“ถ้าฝ้ายไม่มีแฟนคงจะจีบอิงเป็นแฟนไปแล้ว “
นายทหารหนุ่มมองภายในห้องฉุกเฉิน ก่อนจะเห็นคนที่อยู่อีกฝั่งมีผ้าม่านกั้น กำลังทำอะไรบางอย่าง
“ให้คนไข้มารอได้เลยค่ะ ญาติเชิญด้านนอก “ เสียงผู้หญิงบอกออกมาจากด้านหลังม่าน
ก้องภพจึงเข็นรถเข็นให้ลูกน้อง มารอด้านใน ก่อนจะเดินออกไปรอด้านนอก
คุณหมอสาวมีแมสก์ปิดหน้าไปครึ่งหนึ่ง มองแผลที่เป็นรอยแทงลึกไม่น้อยด้วยสายตานิ่ง เลือดไหลทะลักเต็มเท้า แต่คุณหมอกลับสวมถุงมือ แล้วให้คนไข้ขยับขึ้นมานอนบนเตียงอย่างใจเย็น
“ต้องเย็บนะคะ ไม่กลัวใช่ไหม” นายทหารพยักหน้า
“หมอฉีดยาชา ก็จะชา แต่คงจะปวดมาก เวลาที่ยาชาหมดฤทธิ์ กลับไปที่หน่วยกินยาตามเวลานะคะ แล้วก็มาล้างแผลทุกวัน “
คุณหมอบอกระหว่างที่ราดน้ำสะอาดลงไป
“แสบหมอ แสบ “ คนเจ็บร้องออกมา
“น้ำเปล่าค่ะ หมอต้องล้างน้ำสะอาดก่อน “ คุณหมอบอกออกมาแล้วลงมือทำหัตถการ
มือบางจัดการฉีดยาลงไปจนคนไข้แทบไม่รู้สึก แล้วนำผ้าสีเขียวมาคลุมเอาไว้ตรงจุดที่จะทำการรักษา ก่อนจะลงมือทันที นายทหารหนุ่มแทบไม่รู้สึกถึงเข็มหรือการดึงของไหม เพียงไม่นาน หัตถการก็เสร็จเรียบร้อย
พยาบาลสาวใหญ่มองคุณหมอหน้าใสด้วยความชื่นชม
“แผลสวยมากเลยค่ะ คุณจ่าโชคดีมากนะคะ ที่ได้หมออิงมาเย็บแผลให้ “
นายทหารมองดูใบหน้าของหมอแล้วยิ้มออกมา หมอเด็กมากขนาดนี้ แต่มือเบาจริงๆ
”ขอบคุณครับหมอ “
“หมอฉีดยาแก้ปวด กับยาบาดทะยักให้แล้ว แต่ต้องกินยา แล้วมาล้างแผลนะคะ “
คุณหมอสั่งก่อนจะลุกออกมา สบตากับญาติที่นั่งรออยู่ด้านนอก
