บทที่ 6 เมื่อโอรสสวรรค์ต้องการ ใครจะกล้าขัด? 2

"มิได้เพคะ ถึงจะนวดผ่อนคลาย ก็ยังต้องพักกล้ามเนื้อหนึ่งถึงสองวันอยู่ดี" นางทูลตอบเรียบๆ จนหวงตี้เดาะลิ้นอย่างไม่พอพระทัย

"เจ้านี่...ขัดไปเสียทุกเรื่อง จะพูดเอาใจเราเสียหน่อย มันจะตายหรือ"

"ที่บ้านหม่อมฉันถือว่าคำพูดหวานๆ ไม่ได้ช่วยให้อันใดดีขึ้น สู้พูดออกไปตรงๆ หม่อมฉันถือว่าเป็นความหวังดี"

"ไม่อยากให้เราโปรดเจ้าหรือ?" พระองค์ผงกศีรษะขึ้นมา ท่าทีจริงจัง

นางกลับสบตาพระองค์เพียงอึดใจ จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตานวดต่อ "หม่อมฉันมิได้อยากเป็นคนโปรดเพคะ" ว่าจบก็ค่อยๆ ดัดฝ่าเท้าอีกฝ่ายขึ้นเพียงอึดใจ ให้ความร้อนซ่านแล่นขึ้นจากปลายเท้าอยู่อึดใจก็คลาย "เสร็จแล้วเพคะ"

หวงตี้ทรงยืนขึ้น ความรู้สึกเบาสบายทั่วร่างทำเอาพระองค์แย้มสรวลออกมา แล้ววางมือลงบนผ้าคาดเอว ได้ป้ายหยกขาวมันแพะแกะเป็นรูปค้างคาวและผลท้อ ประดับพู่สีทองชิ้นหนึ่งก็ปลดออกมาแล้วยื่นให้ฟู่หยวนเพ่ย

"ถือว่าตอบแทนที่เจ้าถวายการปรนนิบัติเราเป็นอย่างดี”

หยวนเพ่ยรับมา เมื่อวางบนมืออุ่นยิ่งรู้สึกว่าหยกนั้นเย็นราวกับน้ำแข็ง ชวนให้จิตใจสงบอย่างประหลาด

"ขอบพระทัยเพคะ"

หวงตี้เพียงยิ้มตอบ จากนั้นจึงออกจากตำหนักฝั่งของนาง คิดว่าคงไปตำหนักฝั่งของลี่เฟย ปลอบขวัญที่จู่ๆ ก็ผลุนผลันมาหานางโดยมองข้ามลี่เฟยที่มีศักดิ์สูงกว่า

ฟู่หยวนเพ่ยมองไปยังหน้าต่าง เห็นเงาร่างหนึ่งผลุบหายไป คาดว่าคงเป็นนางกำนัลของตำหนักใดตำหนักหนึ่งเพื่อมาสอดส่องเรื่องราวในตำหนักชุนชิว...หรืออาจจะเป็นคนของพี่สาวของนางเอง...จะใครก็ตาม นางก็ป้องกันแล้ว ไม่อยู่กับฝ่าบาทสองต่อสอง ถวายการนวดที่บรรดาสนมไม่มีใครกล้าทำ แต่นางทำ พวกนางคงดูแคลนนางไม่น้อย

ก็ได้แต่หวังว่า ทำถึงเพียงนี้แล้ว นางจะได้อยู่อย่างสงบมากกว่านี้...

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงเล่าลือกันว่าหวงตี้จู่ๆ ก็มีพระพลานามัยที่แข็งแรงสดชื่นขึ้นผิดไปจากแต่ก่อนแพร่ไปทั่ววังหลวง จนไปเข้าหูหมอหลวงในสำนักหมอหลวงหลายคน หัวหน้าหมอหลวงทนความคับข้องไม่ไหว ถึงกับเอ่ยปากถามขณะที่เข้ามาตรวจสุขภาพให้โอรสสวรรค์ทุกเดือน

หวงตี้แม้จะทรงอยากเล่าให้ฟังเพียงใด ก็ไม่อาจตรัสออกไปได้ เนื่องจากติดสัญญาใจระหว่างพระองค์กับฟู่หยวนเพ่ย ว่านางจะขอดูแลสุขภาพของพระองค์อยู่เบื้องหลัง ไม่อยากจะแสดงตัว ซึ่งพระองค์ก็รับปากไปแล้ว เขาว่าผู้เป็นเจ้าคนนายคนตรัสแล้วย่อมไม่คืนคำ

ทว่าคนที่หวงตี้ไม่อาจปิดบังได้ กลับเป็นอนุชาเพียงผู้เดียวของพระองค์ ฉู่หวาง จื่อหาน เขาเห็นว่าช่วงนี้เชษฐาของเขาดูกระฉับกระเฉง จนกระทั่งหลังจากหารือราชกิจเสร็จสิ้น หวงตี้จึงชวนฉู่หวางมาฝึกซ้อมกระบี่ด้วยกัน

ท่ามกลางอากาศหนาวของช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิในลานฝึกหลวง เสียงกระบี่ไม้กระทบกันอย่างรวดเร็วรุนแรง แม้จะเป็นการปะทะกันเพื่อทดสอบฝีมือก็ตาม หวงตี้ใช้ทักษะกระบี่ที่รวดเร็วว่องไวเข้าหาญหัก ในขณะที่ชายหนุ่มอีกคนใช้กระบี่ปัดป้องได้อย่างทันท่วงที พลันกระบี่เปลี่ยนทิศหมายฟาดตัดเข้าที่เอวของเขา ทว่าอีกฝ่ายกลับกระโดดหลบได้ทันท่วงที จากนั้นจึงฟันตรงฟาดผ่ากระหม่อม หวงตี้รีบถอยเท้าหลบ ทำให้ปลายกระบี่เฉียดพระพักตร์ไปอย่างฉิวเฉียด ทั้งสองยิ้มให้กัน จากนั้นจึงประมือกันต่อประมาณสิบกระบวนท่าจึงหยุดลง

เหงื่อผุดพรายทั่วร่าง ไอร้อนบางๆ ระเหยจากร่างทั้งสองด้วยผลจากการออกกำลังกลางอากาศหนาว ยิ่งเห็นดังนั้น ฉู่หวางยิ่งสงสัย จึงเอ่ยถาม

“กระหม่อมดูแลเรื่องสมุนไพรใหม่ที่เข้ามาในวังหลวงโดยตลอด แต่ไม่มีสมุนไพรตัวใดที่กินแล้วสามารถทำให้เป็นเช่นนี้ได้ หรือว่ามีใครลักลอบนำยาประหลาดมาให้เสด็จพี่เสวยหรือไม่”

“ไม่มี” หวงตี้เพียงส่ายพระพักตร์เล็กน้อย

“อ้อ ยังมี...การเคลื่อนไหวของเสด็จพี่ก็เฉียบคมขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เป็นเช่นนั้น ถ้ามิใช่ยาวิเศษแล้วจะเป็นอะไรได้อีก”

โอรสสวรรค์เงยพระพักตร์ขึ้นมองแล้วตรัสตอบ “ไม่ใช่ยาวิเศษใดๆ แต่เป็นเหลียงเจียผู้หนึ่ง”

“เหลียงเจีย?” ฉู่หวางเลิกคิ้ว “ที่แท้เสด็จพี่ก็ได้บุปผางามไว้เชยชมอีกหนึ่งดอกนี่เอง”

อีกฝ่ายส่ายหน้า “ข้ากับนางเรายังไม่ได้มีอะไรกัน”

“...แล้ว”

“นางชาญฉลาดที่รู้จักหาวิธีที่ไม่ต้องถวายตัว” หวงตี้ทรงพระสรวลเบาๆ อีกฝ่ายยิ่งฟังยิ่งงุนงงอึ้งงัน การถวายตัวก็เหมือนกับปลาที่ขึ้นเขียง ไม่อาจรอดได้ แล้วนางใช้วิธีใดรักษาความบริสุทธิ์ของตนเองเอาไว้

ถ้าเกิดว่าสักวันได้พบกัน เขาคงต้องถามเพื่อประดับความรู้เสียหน่อยแล้ว...

บทก่อนหน้า
บทถัดไป