บทที่ 7 จุดเสินเหมิน 1
การที่หยวนเพ่ยเอ่ยออกมาเช่นนั้นเพราะไม่อยากให้เรื่องราวของนางไปบิดเบือนประวัติศาสตร์โดยไม่จำเป็น เคยมีคนกล่าวว่า แม้ผีเสื้อขยับปีกย่อมเกิดผลกระทบใหญ่หลวง ถ้าเกิดว่าวิชาของนางทำให้ประวัติศาสตร์ผิดเพี้ยนไป ตัวนางเองหรือแม้แต่คนอื่นๆ บนภพภูมิที่จากมา อาจได้รับผลกระทบที่น่าหวาดหวั่นตามมา นางคิดเพียงว่าแค่ได้กลับมาเกิดใหม่ที่สุขสบายเช่นนี้ ก็นับว่าดีมากเหลือเกินแล้ว ไม่ควรหาเรื่องใส่ตัวอีก
ในเมื่อหวงตี้ยังคงรักษาสัญญา วิถีชีวิตของหยวนเพ่ยก็ราบเรียบดังปกติ นางเอาแป้งที่นวดไว้มาปั้นเป็นก้อนกลมแล้วใช้ไม้แผ่เป็นแผ่นบาง ใส่เนื้อหมูสับปรุงรสด้วยขึ้นฉ่าย ซีอิ๊ว น้ำมันงา น้ำตาล พริกไทย ตามด้วยตักน้ำที่ต้มหนังหมูทิ้งให้เย็นจนกลายเป็นก้อนวุ้นตามลงไป จับจีบให้สวยเหมือนซาลาเปาลูกเล็ก นำไปนึ่งบนลังถึงให้ร้อน กลายเป็นเสี่ยวหลงเปา จากนั้นนางจึงยกไปให้ลี่เฟยเพื่อว่าจะนำไปกินเป็นของว่างยามบ่ายด้วยกัน
เมื่อไปถึงก็เห็นว่าลี่เฟยวันนี้เองก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมาก ได้ยินว่าหลังจากหวงตี้อยู่ประทับที่ตำหนักของนาง อีกทั้งยังพระราชทานแพรพรรณและเครื่องประดับมาอีกจำนวนหนึ่ง ราวกับประกาศให้รู้ว่าพระองค์ให้ความสำคัญกับผู้ใดมากกว่า
นางวางมือจากถุงเท้าคู่เล็กที่กำลังเย็บให้ลูกน้อยในครรภ์แล้วเดินมาถามไถ่เรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อวาน เมื่อได้รู้ว่าหยวนเพ่ยได้หยกพกเพียงชิ้นเดียว นางจึงรีบปลอบโยนน้องสาวเป็นการใหญ่ ทั้งยังใจกว้างให้นางเลือกเครื่องประดับจากในบรรดาของที่ได้รับพระราชทาน
ยิ่งหยวนเพ่ยปฏิเสธก็ยิ่งคะยั้นคะยอ นางจึงตัดสินใจเลือกปิ่นประดับหยกลายผีเสื้อที่ดูแล้วว่าเล็กที่สุดในบรรดาเครื่องประดับทั้งหมดเพื่อเป็นการตัดปัญหา เป็นอันว่ากว่าจะได้กินเสี่ยวหลงเปาก็ต้องนำไปอุ่นใหม่ หยวนเพ่ยนึกเสียดายของที่ทำร้อนๆ ใหม่ๆ ไปไม่น้อย เพราะกลัวว่าถ้านำไปนึ่งซ้ำจะเสียรสชาติ แต่เมื่อเห็นพี่สาวยิ้มได้อย่างเป็นสุขเช่นนี้ก็ให้สบายใจ
ทว่าฟู่หยวนเพ่ยสบายใจได้เพียงไม่กี่วัน หวงตี้ก็เสด็จมายังตำหนักฝั่งซ้ายของนาง โดยมีพระประสงค์จะอยู่ค้างด้วย
หยวนเพ่ยให้การต้อนรับขับสู้เท่าที่จะทำได้ นางกำนัลนั้นยังนำชาและของว่างมาถวาย ในขณะที่หวงตี้ทรงกำลังอ่านฎีกาที่รับสั่งให้ขันทีนำมาด้วยสองสามฉบับอยู่บนเตียง ขณะความเงียบก่อตัวรอบด้านจนกระทั่งได้ยินเสียงไส้เทียนแตกดังเปรี๊ยะ หยวนเพ่ยที่ไม่อยากอยู่ว่างจึงหยิบหนังสือกวีของหลี่ไป๋มาอ่านข้างๆ พลางลอบมองสีหน้าของหวงตี้หนุ่มผู้นี้ไปด้วย
ถังหวงตี้ผู้นี้อายุยี่สิบปลายๆ แล้ว เห็นว่าขึ้นครองราชย์ตั้งแต่อายุสิบเจ็ด ผ่านศึกสมรภูมิและวิกฤตการณ์ใหญ่น้อย จนหยวนเพ่ยนึกไม่ออกว่าถ้าเด็กหนุ่มอายุเท่าเขาในโลกของเธอจะสามารถแบกรับมันไว้ได้ไหม...แต่เขาก็ผ่านมาได้ โดยแลกกับสุขภาพที่ไม่ค่อยดีนัก ถึงแม้จะเป็นช่วงที่สงบสุขไร้ศึกสงครามจากภายนอกก็ตาม แต่เรื่องศึกภายในที่เขาต้องสู้ต่อนั้นก็มิด้อยไปกว่ากัน ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องชาวบ้าน แก้เรื่องหนึ่งเสร็จก็มีเรื่องใหม่เข้ามาเสียบแทนโดยแทบไม่มีเวลาหายใจ
ใครว่าเป็นหวงตี้สุขสบาย...คนที่กระสันอยากเป็นจนตัวสั่นนี่นับว่าโง่เขลาเบาปัญญาถึงที่สุด
อากาศข้างนอกเริ่มหนาว เขาสวมชุดนอนแพรสีเหลืองห่มคลุมด้วยขนเตียวเลอค่า ส่วนหยวนเพ่ยสวมชุดนอนสีชมพู คลุมทับด้วยขนจิ้งจอกบุแพรต่วนเนื้อลื่นให้ความอบอุ่น นางสังเกตเห็นว่าเสื้อคลุมของเขาเลื่อนหลุดเล็กน้อย จึงยื่นมือมาขยับให้ด้วยความเคยชิน
หวงตี้หนุ่มทอดพระเนตรมือนุ่มของนาง จึงตัดสินพระทัยวางฎีกาฉบับสุดท้ายของวันให้ขันทีเอาไปเก็บที่ห้องทรงพระอักษร...พระองค์ติดนิสัยเช่นนี้เสมอ แม้จะชอบปานใด แต่ก็ไม่อยากให้สตรีพบเห็นเรื่องราวราชกิจโดยไม่จำเป็น
“ทรงง่วงแล้วหรือเพคะ” หยวนเพ่ยทูลถามเรียบๆ
พระองค์ส่ายพักตร์เล็กน้อย “ยัง”
“ยามไฮ่[1] แล้ว ฝ่าบาทไม่ควรบรรทมดึกเพคะ”
“ทำอย่างกับเราเป็นเด็กๆ” พระองค์แย้มสรวลขำพลางถอดเสื้อคลุมออก แล้วจึงถอดเสื้อคลุมของหยวนเพ่ยส่งให้นางกำนัลออกไปเก็บ คืนความเป็นส่วนตัวให้แก่พระองค์และนาง
ปกตินางจะก้มหน้าไม่ค่อยสบตาพระองค์สักเท่าไร นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มองฟู่หยวนเพ่ยเต็มๆ ตา เด็กสาวใบหน้าผ่องใส ตากลมโต ขนตายาวงอน ริมฝีปากสีอิงเถา ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นสาวงามคนหนึ่ง...แต่เมื่อมองตาของนางนั้น ภายใต้ความเคารพนบนอบนั้นแฝงแววดื้อดึงเอาไว้
พระองค์ลุกขึ้น ทรงยกมือแตะปลายคางของนาง ใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือลูบไล้ริมฝีปากของหยวนเพ่ย
“อย่างไรก็ยังไม่ยอมหรือ”
นางยิ้มอ่อนบาง แตะมือของพระองค์แล้วประคองไว้ด้วยสองมือของนาง
“หม่อมฉันถวายการปรนนิบัติพระองค์เพียงเท่านี้ก็พอแล้วเพคะ”
