บทที่ 1 1
เช้าวันทำงานวันแรกของสัปดาห์ ใครหลายคนไม่อยากจะตื่นนอนจากนิทราอันแสนหวาน หรือยังมีอีกหลาย ๆ คนที่ไม่อยากกลับมาเจอปัญหาเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งที่ไม่เข้าใจในตัวเองเลยเช่นกันว่าทำไมถึงได้กลายเป็นคนซุ่มซ่าม ทำงานผิดพลาด แถมยังไม่เคยได้เรื่องได้ราวอะไร
บริษัทนำเข้ายักษ์ใหญ่ที่สุดของเมืองไทยยังมีเธอคนนั้นแอบหลบซ่อนตัวอยู่ จนกลายเป็นตัวตลกของเพื่อนร่วมงาน ทว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดี มันทำให้ได้เจอเพื่อนร่วมงานใจดีคนหนึ่งที่พอจะระบายอารมณ์ได้บ้าง
สถานที่เพียงแห่งเดียวที่สองสาวจะขึ้นไปพักสมองช่วงเวลาพักรับประทานอาหาร แต่วันนี้ท้องฟ้าที่เคยแจ่มใสเช่นทุกครั้งกลับมืดมิด ราวกับจะแกล้งให้สาวน้อยโชคชะตากลั่นแกล้งต้องติดแหง็กอยู่บนดาดฟ้าเพียงลำพังหลังจากที่เพื่อนของเธอกลับลงไปเข้าห้องน้ำ และเป็นคราวซวยที่ดันมีคนล็อกประตูทำให้ออกไปไหนไม่ได้ มือถือไม่มี มีเพียงเนื้อตัวที่สวมชุดพนักงานสีฟ้าอ่อน นั่งกอดเข่าร้องไห้แข่งกับสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาว่า
ยังมีสาวน้อยคนนี้นั่งตากฝนอยู่
“ฮื้อ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย ฮื้อ!”
ร่างบอบบางเงยหน้าขึ้นตะโกนก้องบนฟ้า ต่อว่าให้สายฝนอยู่นานหลายนาทีจนเสียงประตูดาดฟ้าถูกเปิดออก เพื่อนร่วมงานอีกจำนวนหนึ่งยืนหัวเราะให้ร่างเปียกซ่กด้วยน้ำฝนพร้อมกับอาการหนาวสั่นเล็กน้อย แต่ยังดีที่มีคนไม่แล้งน้ำใจจนเกินไปยื่นผ้าขนหนูมาคลุมร่างของเธอซึ่งตอนนี้คงมองทะลุไปถึงด้านในแล้ว สังเกตจากสายตากะลิ้มกะเหลี่ยของพวกพนักงานผู้ชายที่พากันเดินมามุงดูเธอ
เอมิกา จันทราฤดี หรือ ข้าวปั้น สาวสวยน่ารักใบหน้าเรียวรูปไข่ ปากเล็ก จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตากลมโตสว่างไสวเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ผิดกับชีวิตจริงของเธอ ทว่ารูปร่างกลับดูบอบบางน่าปกป้อง ด้วยผิวพรรณที่ขาวกระจ่างใสอมชมพู บวกด้วยอุปนิสัยซุ่มซ่ามของเจ้าตัวที่แสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาตินั้น ทำให้ผู้ชายต่างหลงใหล และผู้หญิงต่างอิจฉา
“ไม่เป็นไร” ข้าวปั้นตอบทั้งที่ก้าวเท้าแทบไม่ไหว บวกกับอาการหนาวสั่นสะท้านเพราะโดนน้ำฝนมาเป็นเวลานาน ปากเล็กจึงสั่นจนคนที่มาดูต้องพากันเคลิ้มให้แก่กิริยายั่วยวนที่เจ้าตัวแสดงออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
“ไม่เป็นอะไรที่ไหนกัน วันนี้กลับบ้านไปพักก่อน พี่อนุญาต” ตุลาการเอ่ยปาก
ชายหนุ่มเป็นนักธุรกิจไฟแรง จบจากนอก กลับมาบริหารธุรกิจนำเข้าแทนพ่อที่เกษียณอายุกลับไปพักที่บ้าน แล้วยกตำแหน่งให้เขาบริหารงานแทน คำพูดนั้นทำลายสายตาของพนักงานในแผนกที่ข้าวปั้นทำงานด้วย ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันกลับไปทำงานของตัวเองเมื่อเจอสายตาดุจากท่านประธานหนุ่มส่งมา จึงเหลือเพียงสาวน้อยอีกคนที่ยืนประคองข้าวปั้น
“ใช่ กลับบ้านไปเถอะ ส่วนเรื่องงาน ฉันพอจะทำแทนให้ก่อนได้ แต่ต้องมาใช้หนี้นะ ไม่ทำให้ฟรี”
นลิน สาวน้อยตาคม ผมดกดำเงางามยาวไสว เพื่อนร่วมงานที่เธอสนิทที่สุดในแผนกพูดขึ้นเพราะเป็นห่วง เมื่อเห็นร่างที่กำลังประคองให้ก้าวเดินเริ่มทิ้งน้ำหนักตัวลงมาจนเธอแทบจะรับไม่ไหว หากแต่เจ้าตัวยังดื้อรั้นไม่ยอมทำตามที่ตุลาการบอก จนอีกฝ่ายต้องทำตาดุเข้าข่ม
“พี่ว่าน้องข้าวปั้นกลับบ้านเถอะนะครับ ให้พี่ไปส่งไหม” ชัยชนะ เพื่อนร่วมงานอีกคนมองข้าวปั้นที่ร่างกายเปียกโชกอย่างหื่นกาม ก่อนจะถูกตุลาการพูดดักทางทันควัน
“เห็นไหม ยังจะเถียงอีก เธอไม่ต้องกลับไปทำงานหรอกนะ" ตุลาการหันไปหานลินที่ยืนมองตัวเองอยู่ก่อนเอ่ยปากสั่งแกมขอร้อง "ยังไงช่วยไปส่งข้าวปั้นด้วย”
“คะ? ได้ค่ะ”
นลินเผลอมองตุลาการ ชายหนุ่มที่เจ้าหล่อนเพียงแค่คิด แต่ไม่มีสิทธิ์อาจเอื้อมมือไปถึง ก่อนจะพูดเสียงหลงออกมาเพราะไม่ทันได้ฟังชัดเจน แล้วก้มหน้าซ่อนแก้มแดงของตัวเองเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเห็น ตุลาการเห็นท่าทีแบบนี้จนชาชินเสียแล้วจึงไม่สนใจมากนัก เบนหน้าไปเอ่ยลาสาวน้อยอีกคน
“พี่ไปทำงานก่อนนะ กลับไปก็หายากินด้วย เดี๋ยวคุณน้านิภาเป็นห่วงอีก”
ตุลาการพูดขึ้นพร้อมกับยกมือลูบศีรษะเล็กของข้าวปั้นอย่างเอ็นดูก่อนจะเดินกลับไปทางเดิม ทิ้งให้ทั้งสองสาวมองตามหลัง ข้าวปั้นและตุลาการรู้จักกันเพราะพ่อกับแม่ของพวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียน ทำให้ข้าวปั้นได้มีพี่ชายที่ใจดีและมีเพื่อนร่วมงานที่แสนดี
“มองแบบนี้ทำไม ไม่ตามไปด้วยเลยล่ะ” ข้าวปั้นที่พูดแซวนลินที่มองตามตุลาการไปจนลับสายตาก็ยังไม่ยอมหันกลับ
“ตามได้คงตามไปนานแล้ว กลับกันเถอะ”
นลินตอบข้าวปั้นแล้วชวนกลับ ขืนยืนอยู่แบบนี้มีหวังโดนแม่บ้านบ่นหูชาโทษฐานทำพื้นเลอะ
ข้าวปั้นพยักหน้าเบา ๆ แล้วพากันเดินกลับไปเก็บของเตรียมตัวกลับบ้าน ตอนนี้เธอรู้สึกมึนหัวแปลก ๆ แถมยังรู้สึกร้อนสลับหนาว
