บทที่ 4 บทที่ 2 หายนะ (50%)
บทที่ 2
“ฉันต้องการผู้หญิงคนนั้น!”
ต้องการผู้หญิงคนนั้น!
จีซูเผยอปากเมื่อได้ยิน สิ่งที่เขาคาดเอาไว้ มันแม่นเกินไปจนเขาไม่อยากจะเชื่อ บอร์ดี้การ์ดหนุ่มปรายตาไปมองพี่ชายร่วมงานอย่างสื่อความหมาย ก่อนจะละสายตาไปมองเจ้านายของตัวเองอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินเช่นกันแต่เมื่อมองเห็นสายตาคุกรุ่นที่จริงจังคู่นั้นชายหนุ่มก็ต้องถอนหายใจแล้วบอกตัวเองว่าทำใจซะ
งานนี้ได้พรากคนรักของชาวบ้านแน่ๆ
พึ่บ!
คิมคยองซูลุกพรวดขึ้นในที่สุดหลังจากที่เขานั่งมองคู่รักสองคนนั้นพลอดรักกันมาตลอด ความอดทนอันน้อยนิดของชายหนุ่มหมดลง เมื่อทั้งสองเรียกเก็บเงิน
“ฉันต้องการผู้หญิงคนนั้น!”
คำสั่งเสียงเข้มของเจ้านายทำเอาลูกน้องทั้งสองคนต้องมองหน้ากันก่อนจะรีบหันไปมอง ‘ผู้หญิงคนนั้น’ ที่เจ้านายของพวกเขาหมายถึงทันที
“เจ้านายครับ!” เป็นจีซูที่โพล่งออกมาอย่างตกใจ
เขาคิดถูกว่าผู้หญิงคนที่เจ้านายของเขาต้องการคือ ผู้หญิงที่มาทานอาหารที่ร้านนี้กับแฟนหนุ่มของเธอ ผู้หญิงที่เจ้านายเขาไม่ยอมละสายตาไปจากเธอตั้งแต่ที่เธอเดินเข้ามาในร้านกับแฟนหนุ่มจนทั้งคู่ทานอาหารเสร็จ และตอนนี้ทั้งสองก็กำลังจูงมือกันเดินออกไปจากร้านด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่เพราะรู้จักเจ้านายเป็นอย่างดีจีซูจึงเรียกสติของตัวกลับมาแล้วคว้าหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมากดถ่ายภาพของเธอเอาไว้ได้ทัน
“ฉันต้องได้พบเธอพรุ่งนี้!”
พูดจบขาคู่ยาวก็สาวเท้าออกไปจากร้านอาหารตามหลังคู่รักชายหญิงคู่นั้นทันที ลีซึงโฮวิ่งพรวดตามเจ้านายออกไป แต่ก่อนที่เลขาหนุ่มจะออกไปก็ไม่ลืมหันมาพยักหน้าให้น้องชายร่วมงานเป็นเชิงให้กำลังใจเพราะงานนี้น้องชายของเขาเจองานช้างเข้าให้แล้ว
“นี่มันอะไรกัน”
คล้อยหลังเจ้านายสุดหล่อจอมเอาใจยากจากไป จีซูก็ต้องหันมาเผชิญหน้ากับเรื่องวุ่นวายเรื่องต่อไปกับผู้หญิงที่เขาพามาให้เจ้านายเลือกแต่พวกเธอกลับไม่ได้รับความสนใจจากเจ้านายของเขาสักนิดเดียว แค่หางตาเจ้านายของเขายังไม่ทันได้สนใจแลมองพวกเธอเลยด้วยซ้ำ
“เจ้านายคุณเป็นบ้าอะไร นี่พวกคุณไม่ให้เกียรติพวกฉันเลยนะ” เสียงของพวกเธอเริ่มเกรี้ยวกราดขึ้น เมื่อบอร์ดี้การ์ดหนุ่มยังไม่มีคำตอบที่น่าพอใจให้ได้ยิน
“เอ่อ ผมต้องขอประทานโทษแทนเจ้านายด้วยครับ เราจะชดเชยค่าเสียหาย และค่าเสียเวลาให้คุณทั้งสองเองครับ”
จีซูพยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมมากที่สุด ชายหนุ่มกำลังคิดว่าเขาอาจจะถูกสองสาวอาละวาดใส่ในอีกไม่ช้า
“บ้าที่สุด เสียเวลา เสียหน้า และเสียเซลมาก”
เสียงเล็กแหลมจากหญิงสาวที่สวมชุดสีแดงเพลิงทำให้บอร์ดี้การ์ดหนุ่มหดคออย่างหวาดๆ เป็นบอร์ดี้การ์ดมาหลายปีไม่เคยกลัวอะไรเท่าวันนี้เลย ผู้หญิงเวลาโกรธน่ากลัวกว่าโจรบุกมาปล้นเสียอีก
“พวกคุณนี่มันทุเรศสิ้นดี”
เสียงหวานที่ไม่ใสของอีกคนพร้อมกับน้ำเย็นที่สาดมาใส่ใบหน้าของจีซู ทำให้บอร์ดี้การ์ดหนุ่มต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ
เมื่อทำในสิ่งที่สาแก่ใจแล้วทั้งสองสาวก็ต่างเดินปึงปังออกไปจากร้านก่อนจะสะบัดหน้าเดินแยกกันไปคนละทางทันที
เห้อเป็นแบบนี้อีกแล้วซินะ
บอร์ดี้การ์ดหนุ่มตัดพ้อในใจ ก่อนจะหยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะมาซับน้ำบนใบหน้าให้ตัวเอง แล้วหันไปเรียกพนักงานที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ เพื่อเรียกเก็บค่าเสียหายทั้งหมดทันที
“เช็คบินเลยครับ”
หลังจากจ่ายค่าเสียหายและค่าเสียหน้า (ของตัวเอง) ให้เจ้าของร้านเรียบร้อยแล้ว บอดี้การ์ดหนุ่มตัดสินใจกดเบอร์โทรหาคู่หูของตัวเองที่กำลังดูแลเจ้านายอยู่
(ว่าไงจีซู)
น้ำเสียงห่วงใยจากปลายสายทำให้บอร์ดี้การ์ดหนุ่มต้องหลับตาแน่นแล้วกรอกเสียงตามสายตอบกลับไป
“พี่ผมจะบ้าตายแล้วนะ”
(เอาน่าใจเย็นๆ ค่อยๆ คิด เอ่อ แกลองโทรไปหาธันวาเพื่อนคนไทยของแกดูสิ หมอนั่นเป็นตำรวจไม่ใช่หรอน่าจะช่วยแกได้นะ)
คำแนะนำของพี่ชายผู้ร่วมงานและร่วมชะตากรรมทำให้บอร์ดี้การ์ดหนุ่มเริ่มมีกำลังใจและคิดอะไรดีๆ ขึ้นมาได้
“นั่นสิ ขอบคุณพี่มากนะ งั้นผมไปทำงานก่อนนะ”
(เออ แล้วก็อย่าคิดมาก แกก็รู้ว่าเจ้านายเราน่ะเป็นยังไง สู้เว้ยๆ พี่เองก็วุ่นๆ เรื่องสัญญาที่มีปัญหาคงช่วยอะไรแกมากไม่ได้)
“ครับ ไม่เป็น พี่ทำงานของพี่เถอะ แค่นี้นะครับ”
บอร์ดี้การ์ดหนุ่มกดวางสายพร้อมถอนหายใจแล้วเอนหลังพิงเบาะรถ บอร์ดี้การ์ดหนุ่มถอนหายใจออกมาอีกครั้งเมื่อคิดว่าตัวเองกำลังจะทำบาปด้วยการพรากคู่รักให้แยกจากกัน แถมสองคนนั้นยังดูรักกันมาก แล้วนี่เจ้านายของเขาคิดอะไรอยู่ถึงได้ต้องการผู้หญิงที่มีพันธะแล้วแบบนี้ ทั้งๆ ที่ปกติแล้วเจ้านายผู้เหย่อหยิ่งของเขาจะไม่ข้องแวะกับสตรีที่มีพันธะไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม
เช้าวันต่อมา
รถยุโรปสีดำคันหรูแล่นเข้ามายังสถานีตำรวจแห่งนึงของไทย จุดหมายที่ชายหนุ่มชาวต่างชาติคนนี้ต้องการ คือ พบหน้าเพื่อนสนิทสมัยที่เคยทำงานอยู่หน่วยสืบราชการลับสากลด้วยกัน ‘ร้อยตำรวจเอกธันวา แสงกล้า’ ความหวังเดียวของการตามหาผู้หญิงที่เจ้านายของเขาต้องการอยู่ที่นายตำรวจหนุ่มไฟแรงคนนี้
“ว่าไงจีซูถ่อมาถึงโรงพักเล็กๆ ของฉันเนี่ย มีเรื่องอะไรให้ช่วยวะ”
ธันวาเอ่ยถามขณะวางแก้วน้ำพลาสติกของร้านอาหารตามสั่งที่เขาและลูกน้องชอบมาทานด้วยกันลงบนโต๊ะตรงหน้าเพื่อนที่ไม่ได้พบหน้ากันมานาน
“แกรู้ใช่ไหมว่าเจ้านายฉันมาทำธุระที่เมืองไทย3-4วัน”
บอร์ดี้การ์ดหนุ่มกำลัง ‘เกริ่นนำ’ อย่างไม่เป็นทางการเพื่อปูทางให้เพื่อนเห็นใจและยอมช่วยเรื่องที่เขากำลังจะขอ
“อย่ามาลีลา บอกมาดีกว่าว่าแกต้องการให้ฉันช่วยเรื่องอะไร”
“เอ่อ ธันวา คือว่า เอ่อ ฉันอยากให้แกช่วยฉันเรื่อง เอ่อ เรื่อง”
บอร์ดดี้การ์ดหนุ่มรวบรวมความกล้าเอ่ยขอความช่วยเหลือเพื่อนออกไปด้วยความละอาย นี่ถ้าเขาเล่าเรื่องนั้นทั้งหมดอย่างละเอียดให้เพื่อนฟังอย่าว่าแต่ช่วยเลยแค่คุยด้วยเขาคิดว่าเพื่อนเขาก็คงไม่ทำ ดีไม่ดีได้ด่าเจ้านายเขากลับมาแทนแน่
“เรื่องอะไรวะ พูดมาเลยถ้าช่วยได้ฉันจะช่วย”
ธันวามองเห็นสีหน้าไม่ค่อยดีของเพื่อนแล้วนายตำรวจหนุ่มก็จนใจไม่กล้าปฏิเสธเพราะเพื่อนคนนี้เขาถึงได้เป็นร้อยตำรวจเอกจนถึงปัจจุบัน
“เอ่อ ฉันอยากให้แกช่วยตามหาคนให้เจ้านายฉันหน่อยน่ะ”
น้ำเสียงติดขัดของเพื่อนทำให้ธันวาขมวดคิ้ว แค่ตามหาคนมันไม่น่าจะเกินฝีมือของอดีตสายลับมือดีอย่าง ชเวจีซู ไปได้
“ตามหาคน ใครวะ แล้วทำไมแกถึงต้องขนาดมาขอให้ฉันช่วย ฝีมืออย่างแกไม่น่าต้องพึ่งฉันนะ”
สองหนุ่มต่างเชื้อชาติกำลังพูดคุยกันด้วยสีหน้าที่ต่างกัน แต่ก่อนที่จีซูจะได้พูดต่ออาหารที่ทั้งสองสั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟ
“นี่ครับผู้กอง”
“ขอบคุณครับน้าสุธน”
ธันวารับจานข้าวผัดของตนและจานข้าวกะเพราไก่ของเพื่อนมาพร้อมกัน ก่อนจะส่งยิ้มให้เจ้าของร้านผู้ใจดีที่เขามาอุดหนุนจนคุ้นเคยกัน นายตำรวจหนุ่มวางจานลงตรงหน้าเพื่อนก่อนจะจัดการหยิบช้อนส้อมบริการเพื่อนอย่างดี
“แล้วแกมีข้อมูลอะไรให้ฉันบ้างวะ”
“เธอเป็นคนไทย”
พูดจบบอร์ดี้การ์ดหนุ่มก็ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา เพื่อเปิดภาพของผู้หญิงที่เขาจะให้เพื่อนช่วยตามหาดู แต่ยังไม่ทันจะได้ยื่นให้อีกฝ่ายดู เสียงเอะอะโวยวายจากหน้าร้านก็ดังขึ้นซะก่อน
“เห้ย เจ้าของร้านอยู่ไหมวะ”
ผู้ชายท่าทางกำยำหน้าตาน่ากลัว 3 คนยืนตะโกนโหวกเหวกอยู่หน้าร้านพร้อมกับที่พวกมันเดินตรงเข้ามาหาเจ้าของร้านที่พวกมันถามหา
“อยู่นี่เอง มาเก็บดอกเบี้ยวะ”
ผลัก!
ร่างของชายวัยกลางคนที่ธันวาเรียกว่า ‘น้าสุธน’ ถูกเหวี่ยงให้ลงไปนอนอยู่บนพื้นหน้าเตาที่เขากำลังทำอาหารให้ลูกค้า เสียงเอะอะโวยวายของลูกค้าภายในร้านทำให้นายตำรวจหนุ่มต้องวิ่งมาดูเหตุการณ์พร้อมเพื่อนสนิทอดีตนายตำรวจสากล ทั้งสองมองเหตุการณ์อย่างตรวจสอบตามวิสัยของสายอาชีพที่ได้รับการฝึกฝนมาเพื่อประเมินสถานการณ์อย่างละเอียดถี่ถ้วนและรอบคอบที่สุด ธันวามองผู้ชายร่างหนาสามคนเพื่อตรวจสอบการพกพาอาวุธที่อาจจะเป็นอันตรายกับลูกค้าคนอื่นในร้านที่กำลังยืนดูเหตุการณ์ด้วยความวิตกอย่างพิจารณาเพื่อความปลอดภัยของทุกคน
จีซูเพ่งมองไปที่ร่างของชายวัยกลางคนอย่างตรวจสอบเช่นกัน หนึ่งตำรวจหนุ่มไฟแรงและหนึ่งอดีตตำรวจสากลมากฝีมือหันมามองสบตากันเพื่อสื่อความหมาย ก่อนจะหันไปมองเหตุการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง
“ดอกเบี้ยอะไรกันไหนพวกแกบอกว่าจะมาเก็บหนี้ทั้งหมดวันพุธ นี่มันเพิ่งจะวันจันทร์เองนะ” นายสุธนเอ่ยเสียงสั่น ก่อนจะพยุงร่างอ่อนแรงของตนขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก
“นั่นมันเงินต้นกับดอก ส่วนวันนี้ดอกเบี้ยรายวันมันคนละส่วนเว้ย จ่ายมาซะดีๆ ห้าพันบาทถ้วน”
“หะ ห้าพัน มันเยอะกว่าปกติตั้งสามพันเลยนะ”
“ค่าแรงที่ต้องออกไปเมื่อกี้ไงคนละพัน จ่ายมาอย่ามาลีลา”
“มะ ไม่ พวกแกโกงข้า ข้าไม่จ่าย”
“ปากดี”
หนึ่งในพวกมันเงื้อมือขึ้นหมายจะตบไปที่ใบหน้าอิดโรยของนายสุธน แต่มือแกร่งที่ไวกว่าของจีซูดึงเอาไว้ได้ก่อน แม้บอร์ดี้การ์ดหนุ่มจะฟังไม่รู้เรื่องว่าพวกมันคุยอะไรกับผู้ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนพื้นก็ตาม แต่ชายหนุ่มไม่ชอบเห็นพวกที่แข็งแรงกว่ารังแกคนที่อ่อนแอกว่า แถมคนก็มากกว่าแบบนี้ทำให้อดีตตำรวจสากลอย่างเขาทนดูต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
“มึงเสือกอะไรด้วยวะไอ้หน้าอ่อน”
ดูเหมือนท่าทางของเขาจะทำให้พวกมันไม่พอใจ ผู้ชายร่างหนาอีกคนเดินตรงมาที่จีซูก่อนที่มันจะกระชากไหล่ชายหนุ่มจนร่างสูงหมุนตามแรง ธันวาเห็นท่าว่าเพื่อนกำลังจะถูกทำร้ายนายตำรวจหนุ่มพุ่งตัวเข้าไปในวง ก่อนจะคว้าคอเสื้อของไอ้คนที่มันกล้าทำร้ายเพื่อนเขาทันที
“หน้าอ่อนงั้นหรอ”
เท้าของนายตำรวจหนุ่มพุ่งไปยังท้องของมันพร้อมกับที่มือที่ยังว่างคว้าเก้าอี้พลาสติกสีแดงที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาฟาดเข้าไปที่ศีรษะของมันอย่างแรง
สิ้นเสียงฟาดเก้าอี้ พวกมันที่เหลือต่างกรูเข้ามาหาทั้งสองพร้อมกัน จีซูใช้เท้าถีบผู้ชายคนที่เขาดึงมือเอาไว้อย่างแรง ความวุ่นวายเริ่มมากขึ้นและเหตุการณ์เริ่มบานปลาย แต่ถึงจำนวนคนจะน้อยกว่าแต่ทั้งจีซูและธันวาต่างก็จัดการพวกมันที่ตัวใหญ่กว่า แรงเยอะกว่า จนตอนนี้นายตำรวจหนุ่มขึ้นค่อมร่างของผู้ชายร่างหนาคนที่เขาถีบได้แล้ว
แกร็ก
เสียงล็อคกุญแจมือดังขึ้น ธันวาผลักร่างของพวกมันแรงๆ เพื่อส่งตัวให้ลูกน้อง
“จ่า จัดการด้วย เดี๋ยวผมกลับไปจัดการต่ออีกที”
“ครับผู้กอง”
ตำรวจนายอื่นถูกธันวาเรียกให้มาจับพวกอันธพาลรับจ้างทวงหนี้นอกระบบและรวบตัวพวกมันทั้งสามพร้อมพาตัวเดินไปยังโรงพักที่ตั้งอยู่ถนนฝั่งตรงข้ามทันที
“แกโอเคไหมวะ”
ธันวาหันกลับมาสนใจเพื่อนตัวเองที่ดูเหมือนจะถูกชกหน้าจนปากแตก นายตำรวจหนุ่มทรุดนั่งลงที่ริมฟุตบาทข้างเพื่อนด้วยความห่วงใย
“ฝีมือตกนะเรา สงสัยอยู่แต่ในห้องแอร์มากเกินไป”
คำพูดหยอกเย้าของเพื่อน ทำให้บอร์ดี้การ์ดหนุ่มอมยิ้ม จริงอย่างที่เพื่อนว่าสงสัยว่าฝีมือของเขาจะตกลงไปมากถึงขนาดเสียท่าโดนคนร้ายชกจนปากแตกได้ เห็นทีกลับเกาหลีไปเขาคงต้องฝึกให้หนักขึ้นซะแล้ว
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่ปากแตกเองเว้ย”
“เออๆ หยอกเล่น แล้วไอ้เรื่องที่จะให้ช่วยยังจะคุยต่ออีกไหมวะ แค่เริ่มคุยก็โชคดีมาเลยเชียว”
จีซูเงยหน้ามองเพื่อนเมื่อคิดถึงเรื่องที่ทั้งคู่คุยค้างกันไว้ ก่อนที่บอร์ดี้การ์ดหนุ่มจะล้วงกระเป๋าหาโทรศัพท์มือถือของตัวเองแต่กลับไม่พบ
“เห้ย มือถือ มือถือฉันหายไปไหนวะ”
บอร์ดี้การ์ดหนุ่มลุกพรวดขึ้น ก่อนจะหันซ้ายหันขวาแล้ววิ่งกลับเข้าไปในร้านเพื่อมองหาโทรศัพท์มือถือของตัวเองโดยมีธันวาวิ่งตามเข้ามาติดๆ
ในตอนที่บอร์ดี้การ์ดหนุ่มกำลังกระวนกระวายมองหาของอยู่นั้น คนที่เก็บเอาไว้ให้ก็เดินมาสะกิดเรียกเพื่อจะคืนสิ่งที่ชายหนุ่มกำลังตามหาให้
จีซูเงยหน้ามองสิ่งของในมือของชายวัยกลางคนที่เขาช่วยเอาไว้ บอร์ดี้การ์ดหนุ่มโค้งขอบคุณแล้วรีบรับโทรศัพท์มือถือของตัวเองมา แต่เมื่อกดเปิดเครื่องกับไม่มีสัญญาตอบรับอะไรเลย หน้าจอยังคงเป็นสีดำสนิท
นี่อย่าบอกนะว่า พัง!!!
บอร์ดี้การ์ดหนุ่มยกมือขึ้นบีบหัวคิ้วของตัวเองอย่างคิดหนัก ข้อมูลสำคัญเพียงอย่างเดียวของเธอที่เขามีหายไปกับตา แล้วแบบนี้เขาจะเอาข้อมูลอะไรไปให้เพื่อนช่วยตามหาเธอได้ ทำไหมสวรรค์ถึงใจร้ายกับเขานัก นี่พระเจ้ากำลังจะทอดทิ้งเขาอีกแล้วหรอ
“พังเลยหรอวะ”
ธันวาหยิบโทรศัพท์มือถือของเพื่อนมาพลิกไปพลิกมาเพื่อดูความเสียหาย นายตำรวจหนุ่มคิดว่ามันคงพังตอนที่เขาและเพื่อนกำลังทำภารกิจฮีโร่ช่วงตำรวจหนุ่มสุดหล่อพบประชาชนอยู่แน่นอน ดูจากสีหน้าของเพื่อนแล้วเขายังคิดอีกว่ามันคงมีอะไรสำคัญอยู่ในนั้นแน่นอน
“แล้วนี่มีอะไรสำคัญมากไหมวะ แต่ดูแล้วมันน่าจะซ่อมได้อยู่นะ”
นายตำรวจหนุ่มพยายามพูดปลอบใจเพื่อน แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล ร่างสูงของจีซูทรุดลงที่เก้าอี้พลาสติกสีแดงอย่างหมดแรง ดูท่าว่าคงจะมีข้อมูลสำคัญจริงๆ นายตำรวจหนุ่มจึงเอื้อมมือไปตบไหล่ปลอบใจเพื่อนเบาๆ
“มันซ่อมได้”
“หมดกัน ข้อมูลสำคัญเพียงอย่างเดียวของเธอ ฉันจะบ้าตาย”
