บทที่ 8 ตอน แรงดึงดูดเกินต้านทาน/1

“ไม่เจ็บค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยหนู”

โรซี่น้อยพนมมือไหว้ขอบคุณแบบไทยๆ ทำเอาคนเห็นยกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ

“หนูมีเชื้อสายไทยใช่ไหม”

“ค่ะ คุณตาพัชรเป็นคนไทยค่ะ” แม่หนูน้อยตอบอย่างภาคภูมิใจ

ริคคาโด้คลี่ยิ้ม ความเอ็นดูเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เขามีมารดาเป็นคนไทย ท่านเป็นต้นแบบผู้หญิงที่เขาชื่นชม นั่นเป็นเหตุผลให้มาเฟียหนุ่มไม่เคยติดใจสาวๆ คนไหน เพราะหาผู้หญิงที่มีลักษณะคล้ายมารดาเขาไม่พบสักคน

“แล้วบ้านอยู่แถวไหน ทำไมมาเล่นที่นี่ คนเยอะแบบนี้ไม่กลัวเหรอ”

เอริกถามอย่างสนใจ เขามองใบหน้ากลมนั้นแล้วรู้สึกคุ้นเคย เหมือนเคยเห็นใบหน้าคล้ายกันแบบนี้ที่ไหนมาก่อน แต่ก็นึกไม่ออก

“หนูมากับคุณตาค่ะ นั่นไงคะคุณตาเดินมานั่นแล้ว”

โรซี่น้อยหันไปเห็นคุณตาของแก กำลังเดินมาก็โบกมือให้ นายพัชรรีบเดินเข้ามาอุ้มหลานสาวไว้ เขามองชายสองคนที่กำลังคุยกับโรซี่อย่างสำรวจ

“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ เจ้านายผมท่านเอ็นดูแม่หนูเลยชวนคุย”

เอริกรีบบอก เกรงอีกฝ่ายเข้าใจเขากับเจ้านายผิด

“คุณลุงสองคนนี้ ช่วยโรซี่ไว้ค่ะ เมื่อกี้มาคัสกับโจเอลรังแกโรซี่ค่ะ” แม่หนูแจกแจงให้ผู้เป็นตาฟัง

“ขอบคุณคุณสองคนมากครับ เด็กสองคนนั่นชอบรังแกโรซี่บ่อยๆ เห็นทีผมต้องไปคุยกับพ่อแม่พวกเขาสักวัน” นายพัชรเอ่ยขอบคุณ

“เรื่องเล็กน้อยครับ ว่าแต่บ้านพวกคุณอยู่แถวนี้หรือครับ” ริคคาโด้เอ่ยขึ้น

“เราเปิดโฮมสเตย์กับร้านอาหารครับ ตอนนี้มีห้องว่างอยู่ ถ้าพวกคุณยังไม่มีที่พักก็มาใช้บริการได้นะครับ” นายพัชรเอ่ยชวน

“แม่ลิชทำข้าวผัดสับปะรดอร่อยมากเลยค่ะ” แม่หนูช่วยโปรโมตอีกคน

ริคคาโด้ยิ้มเอ็นดู เขาหันไปบอกเอริกว่า

“เอริก ฉันอยากกินข้าวผัดสับปะรด ยกเลิกห้องพักที่สั่งจองเปลี่ยนมาพักที่บ้านพักของพวกเขาแทน”

มาเฟียหนุ่มทนความน่ารักน่าเอ็นดูของแม่หนูไม่ไหว โรซี่น้อยมีแรงดึงดูดบางอย่าง ทำให้เขาอยากเข้าใกล้ มันคงจะดี หากเขาใช้เวลาสองวันนี้พักที่โฮมสเตย์ของครอบครัวแม่หนูน้อย

ริคคาโด้กับเอริกพากันมานั่งบนรถตู้พร้อมกับหนูน้อยโรซี่ โดยมีนายพัชรตาของเด็กหญิงเป็นสารถี รถเคลื่อนตัวออกจากท่าเรือไปตามถนนของหมู่บ้าน เมืองเซริตาน่าเป็นเมืองท่องเที่ยวจึงมีร้านค้าและโรงแรม ตลอดจนรีสอร์ทและร้านอาหารหลายแห่ง แต่ทางเมืองควบคุมไม่ให้หนาแน่นเกินไป โฮมสเตย์ของอลิชาอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ ใช้เวลาเดินทางเพียงไม่กี่นาที ระหว่างทางผ่านรีสอร์ทที่เอริกได้จองที่พักไว้ให้เจ้านาย เขาจึงขอให้นายพัชรหยุดรถเพื่อเข้าไปจัดการยกเลิก และต้องเรียกบอดีการ์ดที่ส่งมาดูแล ให้ตามไปอารักขาเจ้านายยังที่พักแห่งใหม่ด้วย

“จอดตรงนี้ด้วยครับ คุณท่านครับผมขอไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แล้วจะตามท่านไปนะครับ”

เอริกหันมาบอกผู้เป็นนาย ก่อนจะพาตัวเองลงจากรถไป ปล่อยให้ริคคาโด้เดินทางต่อไปพร้อมแม่หนูและตา

“เมื่อกี้หนูเก่งมาก ที่ไม่ยอมให้เจ้าเด็กสองคนนั่นรังแก” ริคคาโด้ชวนแม่หนูคุย

“แม่ลิชสอนโรซี่ว่า อย่าไปทำร้ายคนอื่นแต่อย่ายอมให้ใครรังแก การเป็นคนดีไม่ใช่การเป็นคนอ่อนแอ โรซี่เลยต้องสู้ค่ะ”

หนูน้อยจดจำทุกคำสอนของมารดา เชื่อฟังและทำตาม ปรารถนาจะเป็นลูกสาวที่ผู้เป็นแม่ภูมิใจ

“แม่ของหนูเป็นผู้หญิงน่าทึ่งจริงๆ แล้วคุณพ่อของหนูล่ะ เป็นยังไงบ้าง”

ริคคาโด้เอ่ยถามถึงพ่อแม่หนู เมื่อครู่เขาได้ยินเด็กชายสองคนนั้น ล้อเลียนว่าโรซี่น้อยไม่มีพ่อ จึงอยากรู้ความจริง

“พ่อไม่ได้อยู่กับโรซี่ค่ะ แม่บอกว่าพ่ออยู่ไกลมาก วันหนึ่งพ่อจะมาหาโรซี่”

เด็กหญิงบอกเล่าถึงบิดาด้วยน้ำเสียงสดใส แม้จะรอคอยการมาของพ่อนานมาก พ่อก็ไม่มาสักที แม่หนูมองหน้าคนถามเห็นนัยน์ตาของอีกฝ่ายสีเดียวกับตนเองก็จ้องมองเพลิน ในใจแอบคิดว่าถ้าเขาเป็นพ่อของเธอก็คงจะดี เขาเป็นฮีโร่เข้ามาช่วยปกป้องเธอ ท่าทางยังใจดี ดูอบอุ่น ชวนให้อยากพูดคุยด้วย มีแรงดึงดูดบางอย่างที่โรซี่น้อยไม่เข้าใจ ทำให้แม่หนูอยากอยู่ใกล้ๆ กับผู้ชายที่เธอเพิ่งพบหน้าคนนี้

“โรซี่ยังไม่รู้จักชื่อของคุณลุงเลยค่ะ” แม่หนูเอ่ยถาม

“ลุงชื่อริคคาโด้ เรียกว่าลุงริคกี้ก็ได้นะ หลานของลุงก็เรียกลุงแบบนี้”

ริคคาโด้มีหลานคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกของราฟาเอล หลานของเขาเรียกเขาว่าคุณลุงริคกี้ ทำให้เขาเคยชินกับการถูกเด็กเล็กๆ เรียกว่าลุง ทั้งที่เขาเพิ่งอายุสามสิบห้าปี

“ลุงริคกี้ หนูชื่อ โรสิตา หรือโรซี่ค่ะ ใครๆ ก็เรียกหนูว่าโรซี่น้อย”

โรซี่น้อยบอกชื่อของตัวเองให้อีกฝ่ายรับรู้ แม่หนูน้อยมีชื่อจริงว่า โรสิตา กิตติอำไพ แต่ผู้คนต่างเรียกเธอด้วยความเอ็นดูว่า โรซี่น้อย จนเรียกกันติดปาก

“โรซี่น้อย ลุงขอเรียกหนูแบบนี้นะ”

ริคคาโด้บอก ขณะยื่นมือมาลูบศีรษะแม่หนูด้วยความเอ็นดู เขามีลูกชายอายุเท่าๆ กับแม่หนู แต่ลูกชายของเขาถูกเลี้ยงดูจากคนเป็นปู่และครอบครัวของน้องชาย เดือนหนึ่งเขาแวะไปหาลูกเพียงสองครั้ง จึงทำให้ไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่ใกล้ชิดกันมากนัก เขารักลูกแต่ไม่ได้เอาใจใส่แกมากเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะทำ มาเฟียหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าเขาละเลยหน้าที่พ่อที่ดีต่อลูกมานานเหลือเกิน บางทีกลับบ้านคราวนี้เขาจะไปพักที่บ้านของผู้เป็นปู่สักพัก ลูกคงจะดีใจ

บทก่อนหน้า
บทถัดไป