บทที่ 5 ตระกูลมู่ 4

“หากจำไม่ผิดน่าจะอยู่ที่แคว้นฉิน”

คำกล่าวของนายน้อยทำให้หลิงหวางมองตามอย่างไม่เข้าใจ เพราะนายน้อยไม่ได้ออกจากเมืองหลวงแคว้นฉีเลย แต่ก็ยอมเดินตามไปแม้จะไม่รู้เส้นทางแต่ความฉลาดล้ำของคุณชายมู่เหรินไม่มีทางผิดพลาด แต่ว่าแคว้นฉินอยู่คนละทิศกับแคว้นฉีแล้วอีกกี่เดือนเล่าจะไปถึงหากเดินด้วยสองเท้าเช่นนี้

“ข้าไม่ได้รีบร้อน เดินทางไปเรื่อยๆ ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น”

คำกล่าวเหมือนมานั่งอยู่กลางใจทำให้หลิงหวางสะท้านในอกอย่างหวาดหวั่นหรือว่านายน้อยจะมีวิชาอ่านใจ?

มู่เหรินมองแผนที่พอจะเข้าใจแล้วจึงเก็บไว้ในอกเสื้อเช่นเดิม หันไปมองผู้ติดตามเพียงคนเดียวที่ไม่พูดไม่จาแล้วส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ สงสัยเขาจะมากับคนใบ้ ดีที่เขาพออ่านสีหน้าและท่าทางของอีกฝ่ายออกแม้จะไม่เห็นแววตาที่ปกปิดด้วยหมวกสานก็ตาม

มู่เหรินมองดูรอบกายด้วยแววตานิ่งเฉย แม้จะไม่ได้ออกมานอกเมืองบ่อยนักแต่ทุกอย่างเบื้องหน้าล้วนเหมือนกันไปหมด มีแต่ป่า ป่า...และริมธารในช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ทำให้สีสันดอกไม้งดงามตา ธรรมชาติที่งดงามเช่นนี้หาได้ยากในโลกปัจจุบันถือว่าเขาโชคดีที่เกิดมาใหม่ในที่แบบนี้

เขาไม่รู้ว่าที่นี่คือยุคไหนกันแน่แต่มีด้วยกันเจ็ดแคว้นใหญ่ที่มีอำนาจแข็งแกร่งได้แก่ฉี ฉู่ เยียน หาน จ้าว เว่ย ฉิน หากคาดเดาเขาคงเกิดในช่วงยุคจั้นกั๋วเพราะมีหลายอย่างที่สอดคล้องถามว่าเขากลัวที่จะทำประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงไหมบอกเลยว่าไม่

เพราะเรื่องของอนาคตเขาไม่รับรู้แล้ว หากตายจากที่นี่แล้วไปเกิดใหม่อีกครั้งก็ไม่รู้ว่าจะไปโผล่ที่ไหนอีก สู้ทำตามใจตัวเองเสียดีกว่าหรือไม่ที่นี่อาจเป็นมิติคู่ขนานก็เป็นได้

“หลิงหวางเจ้ามีพี่น้องหรือไม่”

มู่เหรินเอ่ยถามคนข้างหลังที่ตามมาเงียบๆ เสียงใบไม้เสียดสีและลมพัดทำให้รู้สึกสบายใจ

“ไม่มีขอรับ เงาทุกคนที่อยู่กับแม่ทัพล้วนเป็นเด็กกำพร้าขอรับ”

คำตอบของหลิงหวางทำให้มู่เหรินนิ่งเงียบเดินตามเส้นทางรถม้าไปเรื่อยๆ ที่ยุคนี้เขาไม่ได้แปลกใจเพราะในซีรีย์จีนที่เคยดูมาส่วนมากนักฆ่าหรือผู้ติดตามจะเป็นเด็กกำพร้าซะส่วนมากและใช่ว่าทุกคนจะโชคดีเหมือนเขาที่เกิดในตระกูลร่ำรวย

“งั้นต่อไปนี้เจ้าก็มาเป็นพี่น้องข้าแล้วกัน”

“ข้าน้อยมิกล้า ขอเพียงได้ติดตามรับใช้นายน้อยก็พอแล้วขอรับ”

คำยืนยันหนักแน่นของหลิงหวางไม่ได้เกินจากที่คาดไว้และเขาเองก็ไม่อยากบีบบังคับ

ทั้งคู่เดินออกมาไกลมากมู่เหรินจึงหยุดพักและดูแผนที่อีกครั้ง แม้จะบอกว่าไม่รีบแต่เขาเองก็ไม่อยากเสียเวลาในการฝึกวิชาเพิ่มอีก เพราะไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะมีอันตรายอันใดอีก

“อีกสิบลี้ก็จะถึงเมืองหลินจรือเราจะหาซื้อม้าที่นั่น”

มู่เหรินเงยหน้าจากแผนที่บอกผู้ติดตามเพียงคนเดียวที่พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ จากนั้นจึงเก็บแผนที่หยิบซาลาเป่าไส้เห็ดหอมยื่นให้หลิงหวางทานเป็นอาหารกลางวัน ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่สามารถปฏิเสธเขาได้

หลังจากทั้งคู่ทานอาหารกลางวันอิ่มแล้วจึงได้ออกเดินทางอีกครั้ง มู่เหรินไม่ได้ใช้ลมปราณลงไปที่เท้าในการเดินทาง เขาอยากเก็บแรงไว้เพราะไม่รู้ข้างหน้าจะเจออันตรายอันใดบ้าง แม้จะไม่เคยออกจากเมืองหลวงแคว้นฉี แต่เขาไม่อยากประมาท ยุทธภพนั้นอันตรายหากพลาดท่าเสียทีได้ไปปรโลกเร็วกว่าอายุขัยแน่

อีกทั้งตนมิใช่คนเก่งกาจอายุเพียงสิบหกในโลกนี้ยังเรียนรู้ไม่ได้มากนัก แม้ความจริงอายุวิญญาณเขาตอนนี้ย่างห้าสิบเอ็ดปีแล้วก็ตาม และกว่าจะถึงที่หมายก็เข้ายามเว่ย(13.00น.-15.00น.)แล้ว

ที่นี่ดูครึกครื้นไม่ต่างจากเมืองที่ผ่านมา มู่เหรินหาห้องพักในโรงเตี๊ยมขนาดกลางเพื่อนอนพักหนึ่งคืนสองห้องสำหรับสองคน แม้จะรู้ว่าหลิงหวางชอบมาอารักษ์ขาเขาก็ตามแต่อย่างไรก็คงต้องมีเวลาส่วนตัวบ้างเช่นอาบน้ำ

จากนั้นจึงได้ออกมาเดินเล่นสำรวจเมือง มีบ้างที่ผู้คนหันมามองเขาด้วยความสนใจเพราะยังมีหมวกปีกสานใบใหญ่ปิดใบหน้า

หลังจากเดินทั่วเมืองจึงกลับมาทานอาหารเย็นในโรงเตี๊ยมระหว่างเดินเล่นได้หน้ากากครึ่งหน้าสีดำสนิทมาหนึ่งอันและเขาก็สวมใส่แทนหมวกปีกสานเพื่อสะดวกในการทานข้าวมากขึ้น ส่วนหลิงหวางเขาซื้อสีขาวให้อันหนึ่งแต่เจ้าตัวไม่ได้สวมใสเหมือนกับเขาเพราะสามารถแปลงโฉมได้

อาหารเลิศรสวางอยู่ตรงหน้า โดยมีหลิงหวางนั่งกินเป็นเพื่อนแต่เขากลับกลืนไม่ลง ข่าวลือที่น่าอายมันโด่งดังมาถึงที่นี่ แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้องจำต้องจำใจกลืนลงท้องไปพร้อมฟังการนินทาตัวเองไปด้วย ทำให้รู้สึกแปลกๆ ชอบกล

“ไม่น่าเชื่อว่าคุณชายสี่ตระกูลมู่จะเป็นคนเช่นนั้น แต่ก็มิแปลกหรอกเพราะข้าได้ข่าวว่าคุณชายนั้นงดงามจนสตรียังต้องอาย”

ชายร่างท้วมพูดอย่างสนุกในกลุ่มพวกเขาสวมใส่อาภรณ์สีน้ำตาลและมีเชือกผูกเอวสีเหลืองเหมือนจะมาจากสำนักใดสำนักหนึ่ง

“เจ้าเคยเห็นหน้าหรือไม่ ข้าอยากรู้จริงผู้ชายที่หนีตามไปหน้าตาเช่นไร”

ชายร่างผอมบางกล่าวต่อด้วยความสงสัยใคร่รู้

มู่เหรินฟังอย่างสงบแม้อาหารมื้อนี้จะฝืดคอไปบ้าง หลิงหวางรินน้ำชาไป๋เหาหยินเจินใส่จอกใบเล็กให้ด้วยท่าทางสงบ เขาดื่มชาอย่างไม่ค่อยรู้รสมากนัก

บทก่อนหน้า
บทถัดไป